Skip to main content
sharethis

กรีนพีซออกรายงานการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในจีนที่เป็นตลาดใหญ่ของการซื้อขาย “ก๊าซฟอสซิลเหลวที่เป็นกลางทางคาร์บอน” และใบรับรองคาร์บอนเครดิตจำนวนมากในโลกยังมาจากโครงการปลูกป่าของจีนที่มาจากพืชติดไฟง่าย โดยมีบริษัทน้ำมันที่ได้ประโยชน์จากโครงการเหล่านี้

27 พ.ย.2566 ฝ่ายสื่อสารของกรีนพีซเผยแพร่รายงานสรุปความเสี่ยงจากการออกใบรับรองและขายเครดิตจากการชดเชยคาร์บอน ซึ่งรวมถึงการซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น “ก๊าซฟอสซิลเหลว(LNG) ที่เป็นกลางทางคาร์บอน” ในกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมน้ํามันและก๊าซฟอสซิล รวมถึง Shell, BP, TotalEnergies, PetroChina และ China National Offshore Oil Corporation (CNOOC) ในตลาดจีนที่เป็นตลาดการซื้อขายหลัก

ลี้ เจี่ยท้ง หัวหน้าโครงการรณรงค์ประจำสำนักงานกรุงปักกิ่ง  กรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวถึงการชดเชยคาร์บอนเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการลดการปล่อยคาร์บอนในที่แห่งหนึ่งเพื่อชดเชยกับปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยจริงในอีกที่หนึ่ง แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการชดเชยคาร์บอนทั่วโลกซึ่งทำกันเป็นอุตสาหกรรมนั้นจะเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวและข้อผิดพลาดในระเบียบวิธีอย่างร้ายแรง

“แม้ว่าการชดเชยคาร์บอนจะเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่นในระดับโลก อุตสาหกรรมชดเชยคาร์บอนกําลังปักหลักเปิดร้านในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิล การชดเชยคาร์บอนเป็นหน้าฉากเพื่อปิดบังการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต่อเนื่องและเพิ่มทวีคูณ และจีนกําลังกลายเป็นตลาดหลักสําหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตดังกล่าว ดังนั้น กรีนพีซจึงส่งสัญญานเตือนในประเทศจีนว่า ไม่มีที่ว่างสำหรับการชดเชยคาร์บอนในการบรรลุเป้าหมายการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ” ลี้เจี่ยท้งกล่าว

รายงานการศึกษาของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกชี้ให้เห็นว่า

● ร้อยละ 85 ของ “ก๊าซฟอสซิลเหลวที่เป็นกลางทางคาร์บอน(carbon neutral LNG)” ที่ขนส่งทางเรือทั้งหมดถูกขายให้กับกลุ่มผู้ซื้อในเอเชีย โดยมีบริษัท PetroChina และ CNOOC ลงนามในข้อตกลงซื้อขายระยะยาวกับบริษัท Shell การขาย “ก๊าซฟอสซิลเหลวที่เป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral LNG)” ชุดแรกเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2562 โดยใช้การชดเชยคาร์บอนเครดิตเพื่อทําการตลาดให้กับก๊าซฟอสซิลเหลว(LNG) ว่า “มีความเป็นกลางทางคาร์บอน” ทั้งที่เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล

● ใบรับรองมาตรฐานคาร์บอน(Verified Carbon Standard-VCS) ที่ออกโดย Verra ทั้งหมดทั่วโลกมีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 มาจากโครงการชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้ของจีน โดย Verra เป็นกลุ่มผู้ออกใบรับรองคาร์บอนเครดิตรายใหญ่ที่สุดของโลกมีโครงการที่ได้ใบรับรองจาก Verra มากกว่า 2,000 โครงการทั่วโลก

● นอกเหนือจากประเด็นในด้านระเบียบวิธีที่พบได้ทั่วไปในโครงการชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้ทั่วโลก - ไม่ว่าจะเป็นความไม่ถาวร (impermanence) ข้อมูลฐานที่ใช้เปรียบเทียบ (baseline) การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (additionality) และการนับซ้ำ (double-counting) - กรีนพีซพบจากการศึกษาวิเคราะห์เบื้องต้นอีกว่าโครงการชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้เหล่านี้ในประเทศจีนมักมีหลักฐานว่าคุณภาพของโครงการไม่สอดคล้องกันเนื่องจากการพัฒนาที่กระจัดกระจายแยกส่วนและมาตรฐานคาร์บอนภาคป่าไม้ที่ไม่ต่อเนื่อง การรวบรวมข้อมูลไม่เพียงพอและการขาดมาตรฐานการวัดทางวิทยาศาสตร์ โครงสร้างสิทธิครอบครองพื้นที่ป่าที่สลับซับซ้อน ประเด็นเรื่องความเป็นมืออาชีพในการรับรองและการจัดการ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศ

● การวิเคราะห์เบื้องต้นของโครงการชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้ 15 โครงการในประเทศจีน ชี้ให้เห็นว่ามากกว่าร้อยละ 80 ของโครงการได้ปลูกต้นไม้สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงต่อการเกิดไฟ อีกร้อยละ 20 ของโครงการได้ปลูกต้นไม้สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดไฟ และมีบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลที่ได้รับการปลดออกจากการชดเชยคาร์บอนเพราะโครงการเหล่านี้

รายงานระบุว่า การตลาดการชดเชยคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นของบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทเหล่านี้กําลังเดินถอยหลังจากคำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ หรือยังคงไม่มีคำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศใดๆ เลย Shell, BP และ TotalEnergies เพิ่งปฏิเสธคํามั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะเดียวกัน PetroChina และ Sinopec ยังไม่ได้ให้คํามั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศใดๆ ทั้งในระยะสั้น กลาง หรือระยะยาวตามความตกลงปารีส แม้ว่าจะมีคำมั่นสัญญาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากรัฐบาลที่ปักกิ่ง

Verra ผู้ออกใบรับรองคาร์บอนเครดิตรายใหญ่ที่สุดของโลกต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวที่สําคัญหลายประการในปี 2566 นี้ รวมถึงบริษัทเชลล์ในประเทศจีนด้วย ในขณะเดียวกัน เชลล์ได้ละทิ้งแผนการลงทุน 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อพัฒนาโครงการชดเชยคาร์บอน

ลี้ เจี่ยท้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรากําลังส่งเสียงเตือนต่อกลุ่มผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตในประเทศจีน การซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการชดเชยคาร์บอนไม่ใช่ทางออกในการกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ไม่มีที่ว่างให้กับการชดเชยคาร์บอนในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero หรือเป้าหมายของคำมั่นสัญญาใด ๆ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ การใช้คำที่สร้างความเข้าใจผิดอย่าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” หรือ “การปล่อยคาร์บอนเหลือศูนย์”กับสินค้าเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยการชดเชยคาร์บอนก็คือการฟอกเขียว ทางออกของวิกฤตสภาพภูมิอากาศคือการหยุดเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรมอย่างรวดเร็ว”

กรีนพีซ เอเชียตะวันออก เรียกร้องว่าต้องไม่นำการชดเชยคาร์บอนมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิหรือเป้าหมายเพื่อบรรลุสังคมคาร์บอนต่ำใด ๆ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต้องมาจากการเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรมโดยกำหนดกรอบเวลาและแนวทางที่ชัดเจน ในส่วนของบรรษัทอุตสาหกรรมและหน่วยงานกำกับดูแล จะต้องยกระดับในการเปิดเผยข้อมูลการลงทุนโครงการชดเชยคาร์บอน จุดประสงค์ในการนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ และรายละเอียดอื่นๆ ทั้งหมดของโครงการชดเชยคาร์บอน

 

หมายเหตุ

  • ความไม่ถาวร (Impermanence): การกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยระบบนิเวศของป่าไม้ยังมีความผันผวนและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยเงื่อนไขหลายอย่างของผืนป่าเอง
  • ข้อมูลฐานที่ใช้เปรียบเทียบ (Basline) : ค่าประมาณของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยไม่ต้องใช้มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะ
  • การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ(Additionality) : โครงการจะต้องสร้างผลประโยชน์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา และผลลัพธ์จากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้จะไม่บรรลุความสำเร็จได้หากไม่มีแรงจูงใจจากตลาดคาร์บอน
  • การนับซ้ำ (Double-counting): การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเกิดขึ้นหลายครั้งหรือเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์จากกิจกรรมการชดเชยคาร์บอนหลายครั้ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net