Skip to main content
sharethis

'ศนิวาร' สส.พรรคก้าวไกล ติงนโยบายค้าคาร์บอนเครดิต ครม. เศรษฐา 'ยุติ-ความเป็นธรรม' ชี้ไม่แก้โลกร้อนที่ต้นเหตุ เสี่ยงแย่งยึดที่ดินชุมชนในเขตป่า ย้ำการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องทำเร่งด่วน คิดถึงประชาชน-รุกรับปรับตัว-มีธรรมาภิบาล

 

12 ก.ย. 2566 ที่รัฐสภา เกียกกาย มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 เป็นวันที่สอง โดยมี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม

ศนิวาร บัวบาน สมาชิกสภาผู้แทนราฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายนโยบายของ ครม. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยชวนมองภาพใหญ่ก่อนว่าประเด็นโลกร้อนในบริบทโลกนั้นเค้าพูดถึงอะไรกัน การแก้ปัญหาโลกร้อนเป็น 1 ใน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ที่แต่ละประเทศต้องดำเนินการร่วมกัน การจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องมีทั้ง 3 เสา ได้แก่ การบรรเทาผลกระทบ (Mitigation) โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การพร้อมรับปรับตัวกับผลกระทบ (Adaptation), และการดำเนินการกับความสูญเสียและความเสียหายหลังจากเกิดภัยพิบัติ (Loss & Damage)

ศนิวาร บัวบาน

อย่างไรก็ตาม ตัดภาพมาที่ประเทศไทย ขณะที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับทั้ง 3 ด้านไปพร้อมๆ กัน แต่รัฐบาลกลับโฟกัสไปที่เรื่องคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นการบรรเทาผลกระทบมากกว่าการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว (Adaptive capacity) ให้กับประชาชน เป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลชุดนี้ตระหนักดีถึงความท้าทายของความแปรปรวนสภาพอากาศ สภาวะอากาศสุดขั้วคือความเสี่ยง แต่ก็เป็นที่ไม่น่ายินดีที่เรื่องการจัดการกับภัยพิบัติอันใหญ่หลวง เช่น วิกฤตภัยแล้งจากเอลณีโญ่กลับเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่บรรจุไว้ในวาระเร่งด่วน กลายเป็นนโยบายระยะกลาง-ยาว โดยนโยบายเร่งด่วนเน้นแต่เพียงการสร้างรายได้ 

“นโยบายเร่งด่วนท่านเน้นแต่ สร้างรายได้ รายได้ และรายได้ คือเดี๋ยวก่อน ประชาชนจะสร้างรายได้ได้อย่างไรคะ ถ้าบ้านยังจมน้ำอยู่อย่างนี้ ภัยพิบัติมีแต่จะก่อให้เกิดความสูญเสียนะคะ ย้อนไปดูเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้วค่ะ ที่เราเจอกับ 'ปรากฎการณ์ลานีญ่า' ส่งผลให้ฝนตกหนักมากกว่าปกติ ประเมินความเสียหายสูงถึง 5,000-10,000 ล้านบาท ทำให้ GDP ในไตรมาส 4 ปีที่แล้วโตแค่ 1.4% เท่านั้น ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ที่ 3.2% ต่อปี” ศนิวารกล่าว

ติง 'คาร์บอนเครดิต' เกาไม่ถูกที่คัน ไม่แก้ต้นเหตุภาคหลัง

สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีแถลงว่า "จะสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ" โดยประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับที่ 18 ของโลก แต่เป็นประเทศที่มีดัชนีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากโลกร้อนเป็นอันดับที่ 9 ของโลก เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ปล่อยในอันดับต้นๆ ของโลก แต่เราจะได้รับผลกระทบในอันดับต้นๆ ของโลก แต่นโยบายของรัฐบาลท่านกลับโฟกัสที่การลดก๊าซเรือนกระจกโดยไม่ดูว่าประชาชนที่เดือดร้อนจากผลกระทบดังกล่าวจะพร้อมรับปรับตัวอย่างไร 

ส่วนเรื่องสร้างรายได้ที่รัฐบาลย้ำนักย้ำหนา ท่านบอกว่า "จะส่งเสริมแนวทางที่สร้างรายได้จากผืนดินและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน" หากภาครัฐต้องการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมจริง การปลูกป่าอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป ป่าแต่ละที่จะมีนิเวศน์ที่แตกต่างกัน การปลูกก็ต้องระวังพวกไม้ต่างถิ่น อาจไปทำลายระบบนิเวศน์เดิมของป่าได้ ถ้าเป็นไปได้ แทนที่จะให้ความสำคัญแต่การปลูกใหม่ ควรมีการฟื้นฟูควบคู่ไปด้วยค่ะ ตีขอบเขตให้ชัดเจน และปล่อยให้พื้นที่ "เป็นไปตามธรรมชาติ" นอกจากนั้นเรื่องส่งเสริมให้เจ้าของที่ดินหรือชุมชนโดยรอบได้รับประโยชน์จากการเพิ่มพูนของระบบนิเวศ การขายคาร์บอนเครดิตอย่างยุติธรรม ศนิวารยังย้ำว่าไม่แน่ใจว่าความยุติธรรมนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่

"ประเด็นที่หลายฝ่ายไม่สนับสนุนหรือไม่เห็นด้วยกับแนวทางตลาดคาร์บอนภาคป่าไม้และนโยบาย Carbon Neutrality นั่นคือ 'กลไกการชดเชยและซื้อขายคาร์บอนเครดิตไม่ได้แก้ที่ตันเหตุของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นคือไม่ได้มุ่งไปที่การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เกือบ 70%ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศมาจากภาคพลังงาน นี่คือ 'การเกาไม่ถูกที่คัน'” ศนิวาร กล่าว

คาร์บอนเครดิตเอื้อทุนใหญ่ ยึดทรัพยากรชาวบ้าน

สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้จัดสรรพื้นที่ดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตให้ 17 กลุ่มทุนใหญ่ รวมเนื้อที่ทังหมด 4 หมื่นกว่าไร่ ซึ่งครอบคลุมหลายพื้นที่ของทุกจังหวัดที่มีการขึ้นทะเบียนป่าชุมชน คือการฟอกเขียวระดับ Mega-projects คือป่าชุมชนเหล่านี้เป็นป่าที่มีความสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่เอกชนกำลังเข้าไปแย่งยึดทรัพยากรที่ชาวบ้านได้พึ่งพาดูแลรักษามาอย่างช้านาน

เมื่อมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ชุมชนที่เป็นผู้รักษาป่ามาตั้งแต่ต้นจะได้รับส่วนแบ่งเพียง 20% ซึ่งหากคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเงินแล้ว จะประมาณ 400 กว่าล้านบาทใน 30 ปี ในขณะที่เอกชนจะได้ส่วนแบ่งสูงถึง1,500 ล้านบาท 

"ท่านคิดว่านี่ยุติธรรมแล้วหรือไม่ ชาวบ้านที่เขาสู้อุตส่าห์ฟื้นฟู ดูแลรักษาป่ามาอย่างยาวนาน แต่อยู่ๆ กลุ่มทุนเหล่านั้นกลับได้ประโยชน์มากว่า นี่คือความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดเจนมากดิฉันจึงตั้งคำถามว่า การขายคาร์บอนเครดิตอย่างยุติธรรม คือ ยุติธรรมสำหรับใครคะ นายทุน หรือชุมชน" ศนิวาร กล่าว

นอกจากนั้น พรรคก้าวไกลยังมองว่า ที่น่าห่วงกังวลมากไปกว่านั้นคือระบบนิเวศธรรมชาติจะถูกลดทอนเป็น "ป่าคาร์บอน" ซึ่งอาจเป็นป่าเชิงเดี่ยว ทำหน้าที่เสมือนถังขยะรองรับก๊าซพิษของภาคอุตสาหกรรม แทนที่จะคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างที่มันควรจะเป็นคุณค่านิเวศบริการด้านอื่นๆ กลายเป็นเพียงผลประโยชน์ร่วมไป โดยชี้ว่าถ้าการได้มาซึ่งพื้นที่เพื่อปลูกป่าแลกคาร์บอนเครดิตมีความยุติธรรมจริง ชาวบ้านคงไม่ออกมาเรียกร้องกันแบบนี้ และย้ำว่าวิธีแก้ปมปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนนั้นคือติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกก่อนโดยการแก้ปัญหาที่ดินที่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน 

ย้ำต้องมีมาตรการควบคุมติดตามการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

ศนิวาร ทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายและมาตรการสำหรับควบคุมและติดตามระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ร่าง พ.ร.บ. .การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยควรให้ความสำคัญกับการพร้อมรับปรับตัว พอๆ กับการบรรเทาผลกระทบ การใช้กลไกการตลาดต้องมีธรรมาภิบาล โปร่งใสตรวจสอบได้ การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานต้องมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วิธีการประเมิน EIA ควรคำนึงถึงสถานการณ์สภาพอากาศสุดขั้วด้วย และท้ายที่สุดด้วยเรื่องโลกร้อนเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน (ทั้งภาคเมือง ขนส่ง ผลิตไฟฟ้า ป่าไม้ เกษตร อุตสาหกรรม และการจัดการของเสีย) องค์กรที่กำกับดูแลอาจจำเป็นต้องข้ามกระทรวงเพื่อให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงฝากทิ้งท้ายให้กับรัฐบาลว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับกรมอื่นๆ นั้นเพียงพอแล้วหรือไม่

"เมื่อวานท่านนายกฯ มาแถลงนโยบาย แต่วันนี้ดิฉันและเพื่อนสมาชิกฯ กลับมาอภิปรายให้เก้าอี้ฟังนะคะ ทีมสิ่งแวดล้อม พรรคก้าวไกล หวังว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคนใหม่จะได้มานั่งรับฟังยังไงก็ฝากประธานฯ ผ่านไปยังท่านนายกฯ ผ่านไปยังท่านรมต.ต่อไปด้วยนะคะ ท้ายนี้ ดิฉันและพี่น้องประชาชนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ครม.นายกฯ เศรษฐา 1 นี้ จะเป็น ดรม. ที่.. ค-คิดถึงประชาชน ร-รุกรับปรับตัวให้ไว และ ม-มีธรรมาภิบาล" สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ทิ้งท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net