Skip to main content
sharethis

iLaw เผยศาลจังหวัดนนทบุรี ให้จำคุก 3 ปี ม.112 โดยไม่ลดโทษและไม่รอลงอาญา เหตุ 'โชติช่วง' เผาพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 โดยศาลระบุเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาทางการเมืองเผาให้ประชาชนเห็น

30 พ.ย. 2566 เพจ iLaw รายงานว่าศาลจังหวัดนนทบุรีอ่านคำพิพากษาในคดีของ “โชติช่วง” (นามสมมติ) ซึ่งถูกกล่าวหาในคดีมาตรา 112 จากการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 ที่ตั้งอยู่ที่สวนหย่อมแห่งหนึ่งใน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เมื่อเดือน พ.ย. 2564

โดยคดีนี้ตำรวจมีภาพจากกล้องวงจรปิดมาพิสูจน์การกระทำของจำเลย และฝ่ายจำเลยก็ยอมรับว่า เป็นผู้เผาจริง แต่ทำไปด้วยอาการมึนเมา ไม่ได้มีเจตนาทางการเมือง และรับสารภาพว่ากระทำความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ แต่ต่อสู้ว่าการกระทำที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ เพราะจำเลยไม่มีเจตนาเช่นนั้น ประเด็นในคดีนี้จึงมีเพียงว่า การเผาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความผิดตามมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ และศาลจะกำหนดโทษต่อจำเลยอย่างไร

ระหว่างการพิจารณาคดีที่ศาล จำเลยโดยความช่วยเหลือของครอบครัวได้นำเงินจำนวน 99,000 บาท วางต่อศาลเพื่อแสดงความรับผิดชอบและชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สิน และองค์การบริหารส่วนตำบลปลายบางเจ้าของผู้ติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าว ได้มาขอรับค่าเสียหายไปเต็มจำนวนแล้ว

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากเบิกความตรงกันว่าในขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ ประดิษฐานไว้ให้ประชาชนเคารพสักการะ แสดงความจงรักภักดี พระบรมฉายาลักษณ์ที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ตรงข้ามห้างสรรพสินค้าซึ่งมีประชาชนผ่านไปมาจำนวนมาก แสดงว่าการเผาต้องการให้ประชาชนที่ผ่านไปมาพบเห็น

พระบรมฉายาลักษณ์สูง 4.5 เมตร รอยไหม้ของพระบรมฉายาลักษณ์อยู่ด้านบน แสดงว่าจำเลยต้องใช้ความพยายามปีนโครงเหล็กขึ้นไปด้านบนเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ และให้ประชาชนเห็นได้ ในโทรศัพท์มือถือของจำเลยที่ยึดมาตรวจพบภาพถ่ายเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง จึงเชื่อว่าจำเลยมีแนวคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ มีเจตนาวางเพลิงเผาทรัพย์ทำให้สถาบันพระมหากษัติย์เกิดความเสื่อมเสีย พยานโจทก์ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยมีน้ำหนักรับฟังได้

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112, ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ ตามมาตรา 217 และฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามมาตรา 358 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่หนักที่สุด คือ มาตรา 112 ให้จำคุกสามปี และให้ริบขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่ใช้ก่อเหตุ โดยไม่รอการลงโทษ

เมื่ออ่านคำพิพากษาเสร็จ ผู้พิพากษาซึ่งทำหน้าที่ระหว่างการสืบพยานและอ่านคำพิพากษาได้กล่าวต่อจำเลยว่า ขั้นตอนต่อไปคือจำเลยต้องยื่นอุทธรณ์และขอประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์ หลังจากนั้นตำรวจที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ใส่กุญแจมือและควบคุมตัวจำเลยไปคุมขังต่อทันที โดยมีนายประกันจากกองทุนราษฎรประสงค์ยื่นขอประกันตัวต่อทันที

ในการพิจารณาคดีนี้ฝ่ายพนักงานอัยการโจทก์เขียนไว้ในคำฟ้องไว้ว่า “เพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน” จึงขอให้ศาลพิจารณาคดีเป็นการลับ ซึ่งทนายความจำเลยแถลงคัดค้าน เนื่องจากคดีนี้จำเลยรับว่าเป็นผู้กระทำแล้ว การต่อสู้คดีไม่ได้มีการกล่าวถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์และไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด แต่ศาลก็สั่งให้พิจารณาเป็นการลับตลอดกระบวนการ และไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าฟังการสืบพยานทั้งหมด ส่วนในวันอ่านคำพิพากษาผู้สังเกตการณ์คดีเข้าฟังได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net