Skip to main content
sharethis
  • หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติถามอัยการสูงสุด รับไม่รับคำร้องให้ส่งศาล รธน.ระงับนโยบาย 'พิธา-ก้าวไกล' ยกเลิก ม.112 ขณะที่ความจริง 'ก้าวไกล' เสนอแก้ไข และมาตรานี้ถูกแก้ไขมาตลอด โดยเวอร์ชันที่ใช้ปัจจุบันเพิ่งสร้างมาหลังรัฐประหารปี 19
  • ชวนย้อนดูหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีเหตุยกเว้นความผิดหากทำเพื่อสาธารณะประโยชน์หรือโดยสุจริต แม้แต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์โทษยังต่ำกว่าตอนนี้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เองเคยพยายามแก้เมื่อปี 51 โดยเพิ่มการคุ้มครองไปที่ "พระบรมราชวงศ์" เพิ่มลักษณะความผิดไปด้วยว่า "กระทำด้วยประการใดๆ ที่สื่อหรือส่อความหมายได้ในลักษณะดังกล่าว" และเพิ่มโทษที่กำหนดขั้นต่ำคือ 5 ปี และขั้นสูงที่ 25 ปี ด้วย

28 มิ.ย.2566 จากกรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้สอบถามอัยการสูงสุดว่ามีคำสั่งรับหรือไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ คดีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ ม.49 ว่าการกระทำของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ม.112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ ม.49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ โดยให้แจ้งศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ได้รับหนังสือนั้น

ทั้งนี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้งเปิดเผยนโยบายของพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งรวมถึงนโยบายของพรรคก้าวไกลด้วย โดยมีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) ม.112 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ 

นโยบายเกี่ยวกับ ม.112 ที่ปรากฏในเว็บไซต์ของ กกต.

สำหรับนโยบายแก้ไข ม.112 ที่ปรากฏในเว็บไซต์พรรคก้าวไกล ประกอบด้วย

1. ลดโทษของกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มีความสอดคล้องกับหลักสากล โดยให้เหลือเพียง

1.1 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระมหากษัตริย์)

1.2 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (พระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์)

1.3 (โทษหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาจะถูกลดลงจากโทษจำคุก 0-2 ปี เหลือแค่โทษปรับ)

2. ย้ายกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ออกจากหมวดความมั่นคงให้เป็นความผิดที่ยอมความได้ โดยกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้มีสิทธิแจ้งความหรือร้องทุกข์กล่าวโทษเพียงผู้เดียว

3. บัญญัติให้ชัดเจนในกฎหมาย เพื่อคุ้มครองกรณีการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตหรือการพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธาณะ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับเหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษสำหรับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา

สำหรับ ม.112 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึงมีการกำหนดโทษขึ้นต่ำที่ 3 ปี และขยายโทษถึง 15 ปีนั้น เพิ่งเกิดขึ้นจากคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน หรือคณะรัฐประหาร ที่นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ลงวันที่ 21 ต.ค.2519 หรือหลังเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษา กรรมกรและประชาชนผู้ประท้วงการเดินทางกลับประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจร ในวันที่ 6 ต.ค.ปีเดียวกัน

ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ฉบับแก้ไขในปี 19 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี" 

หลังจากนั้นกฎหมายฉบับนี้ก็มีความพยายามแก้ไขมาโดยตลอด เช่น ปี 55 คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112  (ครก.112) ยื่นรายชื่อประชาชนแต่เรื่องก็ตกไปแล้วเพราะประธานสภาเวลานั้นไม่รับพิจารณา หรือล่าสุดนอกจากภาคประชาชนที่รวมตัวกันล่ารายชื่ออีกครั้ง เพื่อเรียกร้องยกเลิกกฎหมายมาตรานี้แล้ว ขณะที่เมื่อปลายปี 64 พรรคก้าวไกล ที่เสนอแก้ไข ม.112 นั้น ออกมาเปิดเผยว่าถูกโต้แย้งโดยสำนักการประชุม สภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตามลำดับ ว่ามีบทบัญญัติที่อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ม.6 ที่ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้”

หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์เองที่โฆษกพรรคออกมาระบุว่าพร้อมค้านเต็มที่นั้น ในปี 51 ซึ่งเป็นการเพิ่ม 3 เพิ่ม คือเพิ่มการคุ้มครองไปที่ "พระบรมราชวงศ์" เพิ่มลักษณะความผิดไปด้วยว่า "กระทำด้วยประการใดๆ ที่สื่อหรือส่อความหมายได้ในลักษณธดังกล่าว" และเพิ่มโทษที่กำหนดขัดต่อคือ 5 ปี และขั้นสูงที่ 25 ปี ด้วย

ร่างแก้ ม.112 ของพรรคประชาธิปัตย์

ปีเดียวกัน (2551) พรรคพลังประชาชนเองก็เสนอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อกำหนดบทลงโทษผู้ที่รู้ถึงการกระทำความผิดตามม. 112 แล้วนำไปเผยแพร่ โดยระบุว่า เพิ่ม ม.112/1 และบัญญัติว่า "ผู้ใดรู้ว่ามีการกระทำความผิดตาม มาตรา 112 ไม่นำความเข้าแจ้งต่อพนักงานสอบสวนแต่กลับนำความไปกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายต่อหน้าธารกำนัลหรือประชาชนว่ามีการกระทำความผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 112 นั้น"

ร่างแก้ ม.112 ของพรรคพลังประชาชน

อย่างไรก็ตามร่างทั้ง 2 ฉบับ ไม่ผ่านสภาเช่นกัน

เมื่อปี 2558 iLaw เคยนำ สรุปเรียบเรียงจาก วิทยานิพนธ์ ของ นพพล อาชามาส ในหัวข้อ 'การประกอบสร้างความกลัว และการเมืองว่าด้วยการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา112' จากศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2556 มาสรุปเป็นตารางแสดงถึงวิวัฒนาการของกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ดังนี้

ชื่อกฎหมาย

ลักษณะความผิด

ผู้ที่ถูกคุ้มครอง

โทษ

พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118 (พ.ศ.2442)

หมิ่นประมาท กล่าวเจรจาด้วยปาก หรือเขียนด้วยลายลักษณอักษร หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่เปิดเผยท่ามกลางประชุมชนทั้งหลาย ด้วยกายวาจาอันมิบังควรซึ่งเป็นที่ แลเห็นได้ชัดว่าเปนการหมิ่นประมาทแท้ (มาตรา4)

1. พระผู้เปนเจ้าซึ่งดำรงสยามรัฐมณฑล

2. สมเด็จพระอรรคมเหษี
3. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช

 

จำคุกไม่เกินกว่า 3 ปี หรือปรับไม่เกินกว่า 1500 บาท หรือทั้งจำคุกและปรับ

กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 (พ.ศ.2451)

 

ทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาท มาตรา 98

1.สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2. สมเด็จพระมเหษี  
3.มกุฎราชกุมาร
4.ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์

จำคุกไม่เกิน 7 ปีและปรับไม่เกิน 5,000 บาท

ทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาท (มาตรา 100)

พระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ารัชกาลหนึ่งรัชกาลใด

จำคุกไม่เกิน 3 ปีปรับและปรับไม่เกิน 2,000 บาท

กระทำให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ด้วยประการใดใด โดยเจตนาต่อผล… (1) เพื่อจะให้ขาดความจงรักภักดีหรือดูหมิ่น  (มาตรา 104)

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

จำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 1,000 บาท

แก้เพิ่มเติมข้อความและเพิ่มโทษมาตรา104 (1) กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 (พ.ศ.2451)

การสั่งสอนทฤษฎีการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อให้บังเกิดความเกลียดชังดูหมิ่นหรือเกิดความเกลียดชัง

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือระหว่างคนในชนชั้น

จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

พ.ร.บ.สมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470

สมุด เอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือบทประพันธ์ที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์อันมีความมุ่งหมายทางตรงหรือทางอ้อม คือโดยอนุมานก็ดีแนะก็ดี กล่าวกระทบก็ดีกล่าวเปรียบก็ดี โดยปริยายหรือประการอื่นก็ดี เพื่อจะ ให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่น.. มีลักษณะอันเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน (มาตร6(5))

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“…เมื่อได้พิมพ์ขึ้นในกรุงสยาม ผู้ประพันธ์บรรณาธิการและเจ้าของ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำและปรับทั้งสองสถาน”(มาตรา36)

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ในปี 2477 แก้ไขข้อความ,
ลดโทษ
และกำหนดบทเว้นความผิดในมาตรา 104 (1)
ของประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127

กระทำการให้ปรากฏแก่คนทั้งหลายด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร หรือเอกสารตีพิมพ์ หรือด้วยอุบาย…
ก)ให้เกิดความดูหมิ่น…
แต่ถ้าวาจา หรือลายลักษณ์อักษร
หรือเอกสารตีพิมพ์ หรืออุบายอย่างใดๆ
ที่ได้กระทำไปภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์
หรือเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต หรือเป็นเพียงการติชมตามปกติวิสัย
ในบรรดาการกระทำของรัฐบาลหรือของราชการแผ่นดิน การกระทำนั้นไม่ให้ถือว่าเป็นความผิด

พระมหากษัตริย์

จำคุกไม่เกิน 7  ปีและปรับไม่เกิน 2,000 บาท

ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499

หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (มาตรา 112)
(ไม่มีบทยกเว้นความผิด)

1.พระมหากษัตริย์ 

2.พระราชินี 

3.รัชทายาท 

4.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

จำคุกไม่เกิน 7 ปี

คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

ลงวันที่ 21 ต.ค.2519 เพิ่มอัตราโทษมาตรา 112

หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (มาตรา 112)

1.พระมหากษัตริย์ 

2.พระราชินี 

3.รัชทายาท 

4.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

จำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปี

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net