Skip to main content
sharethis

คุกคามนักเรียนต่อเนื่อง ศูนย์ทนายฯเผย อาจารย์ขู่ พกปืน หลัง #เกียมพัฒนาประชาธิปไตย จัดกิจกรรม “ชมพูพันธุ์ทิพย์แตกกิ่งใบ ประชาธิปไตยจะบาน” นักเรียน ม.3 ปราศรัย #สุราษฎร์จะฟาดเผด็จการ ถูกตร.เรียกสอบ ขณะที่อีกรายถูกเรียกเป็นพยาน

(แฟ้มภาพ) กลุ่มนักเรียนเลวจัดกิจกรรมที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา

8 ต.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (2 ต.ค.63) หลังกลุ่ม #เกียมพัฒนาประชาธิปไตย ได้จัดกิจกรรม “ชมพูพันธุ์ทิพย์แตกกิ่งใบ ประชาธิปไตยจะบาน” ในวันที่ 1 ต.ค. 2563 มีการเผยแพร่คลิปเสียงของอาจารย์ในโรงเรียนท่านหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงความไม่พอใจกับกิจกรรมการชุมนุม และการนำป้าย “การชุมนุมไม่ใช่เหตุพิเศษ” ติดบริเวณรอบโรงเรียน และป้ายหน้าโรงเรียนซึ่งมีตราพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ประจำของโรงเรียนในเครือเตรียมอุดมศึกษา อาจารย์ได้เปิดเผยว่า ตนเองพกปืนมาโรงเรียน และถ้าหากตนถูกไล่ออกจากศูนย์การเรียนที่สอนพิเศษอยู่ จะฟ้องดำเนินคดีแพ่งกับกลุ่มเกียมพัฒนาประชาธิปไตย 

ย้อนกลับไป 1 วัน ก่อนการจัดกิจกรรม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการได้ออกหนังสือแจ้งปิดสถานศึกษาเป็นเวลาหนึ่งวัน ในวันที่ 1 ต.ค. 2563 โดยอ้างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2558 ข้อ 9(1) โรงเรียนอ้างว่าเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ไม่ได้เป็นการปิดกั้นการแสดงออกทางการเมือง ทำให้ผู้จัดกิจกรรมต้องใช้พื้นที่บริเวณหน้าโรงเรียนในการดำเนินกิจกรรมแทน และเพื่อเป็นการประท้วงคำสั่งของโรงเรียนที่ไม่ให้ใช้พื้นที่สถานศึกษาในการชุมนุม กลุ่มนักเรียนจึงนำป้าย “การชุมนุมไม่ใช่เหตุพิเศษ” ไปแปะบริเวณรั้วโรงเรียนและรอบๆ พื้นที่ในโรงเรียน

ศูนย์ทนายฯ รายงานเพิ่มเติมว่า 2 ต.ค.ที่ผ่านมา อาจารย์ท่านหนึ่งนำประเด็นการปราศรัยของนักเรียนและการติดป้ายดังกล่าวนั้นมาวิจารณ์ในห้องเรียน สรุปความได้ว่า 

  1. ไม่พอใจนักเรียนที่นำป้ายไปติดบริเวณพระเกี้ยว โดยกล่าวว่า “ถ้าคิดว่าพระเกี้ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องมาเรียนที่นี่ ให้ไปเรียนที่อื่น” 
  2. ขู่นักเรียนว่าตนเองพกปืน โดยกล่าวว่า “ผมไม่กลัวถ้าเด็กเข้าไปรุม ผมไม่ได้มาตัวเปล่า ที่นี่เขารู้กันทั้งนั้นว่าผมพกปืน ก็เคยพูดแล้วว่าซื้อปืนไม่ได้ไว้ยิงหมา ซื้อไว้ยิงคน มีปืนก็ดี ทะเลาะกับใครก็หยิบปืนขึนมาปั๊ป” แต่ถ้าเขายิงนักเรียนก็จะต้องออกจากราชการ เขาจึงจะยื่นปืนให้นักเรียนยิงดีกว่า เพราะทำพินัยกรรมจัดการเรื่องมรดกและประกันไว้เรียบร้อยแล้ว และจะฟ้องคดีแพ่งกับนักเรียนที่ยิงเขาด้วย  
  3. แสดงความเห็นที่นักเรียนปราศรัยถึงเรื่องราวในโรงเรียน หรือพูดถึงผู้อำนวยการโรงเรียนว่า “ผอ.เหี้ยถึงวันสุดท้าย” ว่าเป็นประเด็นในโรงเรียน ไม่ควรนำไปเผยแพร่ข้างนอก เพราะจะทำให้โรงเรียนเสียหาย ทำให้ศิษย์เก่าไม่พอใจ และเกรงว่าตนจะถูกไล่ออกจากศูนย์การเรียนที่สอนพิเศษอยู่ ซึ่งได้ค่าตอบแทนเดือนละ 40,000 บาท ถ้าหากตนถูกไล่ออกก็จะฟ้องคดีแพ่งกับกลุ่มเกียมพัฒนาประชาธิปไตย 

โดยนักเรียนที่เข้าร่วมการชุมนุมเปิดเผยความรู้สึกว่า เมื่อได้ยินอาจารย์กล่าวว่าพกปืนแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย และเพื่อนที่อยู่ในห้องเรียนก็รู้สึกไม่ดี นอกจากนี้นักเรียนยังระบุอีกว่า อาจารย์คนดังกล่าวเคยพูดในห้องเรียนก่อนที่กลุ่มเกียมพัฒนาประชาธิปไตยจะจัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ว่า “ทำไมถึงต้องไปชุมนุมด้วย ไม่รักโรงเรียน ไม่รักชาติกันหรือ” “พวกที่ไปชุมนุมเป็นพวกที่ชังชาติ” 

นอกเหนือจากการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ศูนย์ทนายฯ ได้รับแจ้งอีกว่า อาจารย์คนดังกล่าวมักใช้ความรุนแรงทางกายและทางวาจากับนักเรียนอยู่เสมอ เช่น บอกนักเรียนหญิงที่ไม่ใส่เสื้อซับในว่า “อยากโชว์ใช่ไหม อาจารย์มองนมได้ใช่ไหม” บังคับให้นักเรียนไปเรียนที่สนามบอล แม้ว่าจะไม่ได้เรียนวิชาพลศึกษา เนื่องจากนักเรียนคุยกันเสียงดังในห้องเรียน และตำหนินักเรียนอย่างรุนแรงว่า “โง่” เมื่อตอบคำถามในห้องเรียนไม่ได้ 

ทั้งนี้ เคยมีกรณีที่ครูถูกลงโทษจากการตำหนิเหยียดหยามนักเรียนว่า “โง่เป็นควาย โง่ทั้งตระกูล” มาแล้ว โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และปิดกั้นพัฒนาการของผู้เรียน มีคำสั่งลงโทษ ตามมาตรา 88 วรรคสอง ที่กำหนดว่า “การกลั่นแกล้ง ดูหมิ่นเหยียดหยาม กดขี่ หรือข่มเหงผู้เรียนหรือประชาชนผู้มาติดต่อราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง” (อ่านเพิ่มเติม: สิทธิเด็กอยู่ไหน? เมื่อถูกคุกคามจากโรงเรียน) 

ศูนย์ทนายรายงานด้วยว่า ล่าสุด ศูนย์เฉพาะกิจเพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียน (ศพค.) ได้เข้าพบและตักเตือนอาจารย์คนดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่ยังต้องช่วยกันจับตาว่า จะมีการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธินักเรียนในด้านอื่นๆ หลังจากนี้อีกหรือไม่ 

นร.ม.3 ขึ้นปราศรัย #สุราษฎร์จะฟาดเผด็จการ ถูกตร.ไปหาที่บ้าน-เรียกไปสภ.สอบปากคำ 

วันเดียวกัน (7 ต.ค.63) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังรายงานประเด็นการละเมิดสิทธินักเรียนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยว่า ศูนย์ทนายฯ ได้รับแจ้งจาก “เอ” (นามสมมติ) นักเรียนชายอายุ 15 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ว่าหลังจากไปร่วมปราศรัยหัวข้อเรื่องสมรสเท่าเทียม ในกิจกรรม #สุราษฎร์จะฟาดเผด็จการ ที่สะพานนริศ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 1 ส.ค.63 เขาได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามที่บ้าน และเรียกไปสอบถามข้อมูล โดยไม่ได้แสดงหมาย ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะติดต่อไปยังผู้ปกครอง ให้พาไปสอบปากคำที่ สภ.เมืองสุราฎร์ธานี โดยบอกว่า “ทำให้จบๆ ไป”

เอระบุว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 63 ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย มาหาที่บ้าน คนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงสีกากี และอีกคนเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ มาพร้อมเอกสาร แจ้งว่าจะขอสอบข้อมูลเรื่องการชุมนุม เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 63 แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีหมายใดมาแสดง เขาจึงปฏิเสธไม่ให้ปากคำ เจ้าหน้าที่ได้ระบุว่าจะขอนัดให้ไปเจอที่สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 28 ก.ย. แต่เอปฏิเสธ เนื่องจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้แสดงเอกสารหมายเรียกใดๆ

ต่อมา เจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังพ่อของเอ และนัดหมายให้นำเอไปพูดคุยกับทางตำรวจ ในวันที่ 4 ต.ค. พ่อจึงได้ตัดสินใจพาเอไปให้ปากคำที่ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี โดยเอไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วตำรวจมีการออกหมายเรียกหรือไม่ 

เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ เขาถูกพาตัวไปในห้องสอบสวน โดยเอระบุว่าในห้องไม่มีทนายความ นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ อยู่ด้วยแต่อย่างใด มีเพียงเอ ครอบครัว และพนักงานสอบสวนที่ใส่เครื่องแบบครึ่งท่อน เสื้อยืดสีขาว กางเกงสีกากี ในห้อง 

การให้ปากคำใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้นำภาพหน้าจอเฟซบุ๊กหน้าเพจ “SuratDemocrat” มาถามว่ารู้จักเพจนี้หรือไม่ รู้เรื่องกิจกรรมที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ได้อย่างไร เอไปทำอะไรในกิจกรรมวันนั้น และได้ขึ้นปราศรัยเรื่องอะไร เอเล่าถึงประเด็นที่เขาขึ้นปราศรัยในวันนั้นว่า เขาพูดเรื่องการสมรสเท่าเทียมเทียบกับ พ.ร.บ.คู่ชีวิต และสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ในประเทศไทย 

จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำรูปผู้ปราศรัยในวันนั้น จำนวน 5 คน มาถามว่ารู้จักไหม เอปฏิเสธไม่รู้จักทั้งหมด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังนำรูปหน้าบัตรประชาชนของผู้ชายและผู้หญิงคู่หนึ่ง ซึ่งเอไม่รู้จัก มาถามว่าเขารู้จักหรือไม่ โดยตำรวจได้ถ่ายภาพนิ่งของเขาและครอบครัวระหว่างการให้ปากคำด้วย

เอระบุว่าเขาทราบว่าเป็นการสอบปากคำพยาน เพราะเอถามเจ้าหน้าที่ในวันที่ไปให้ปากคำ และตำรวจบอกว่าเป็นการสืบพยานในเหตุการณ์วันนั้นเท่านั้น ยังไม่ใช่ผู้ต้องหา เบื้องต้นเอไม่ได้กังวลมากนัก แต่ทางผู้ปกครองกังวลและขอให้ไม่ทำกิจกรรมทางการเมืองอีก เอตอบว่าไม่รับปาก 

อีกรายถูกออกหมายเรียกไปเป็นพยาน

ศูนย์ทนายฯ ยังได้รับข้อมูลว่า นอกจากกรณีของเอแล้ว ยังมีผู้เข้าร่วมชุมนุม #สุราษฎร์จะฟาดเผด็จการ อีกอย่างน้อย 1 คน ได้ถูกออกหมายเรียกไปให้ปากคำในฐานะพยานที่สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี หมายลงวันที่ 18 ส.ค. 63 เหตุจากการเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าวเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่จะมีการดำเนินคดีผู้ใดตามมาหรือไม่ 

นอกจากนี้ ก่อนวันชุมนุม ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ยังมีข้อมูลว่า มีนักเรียนนักศึกษาในจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างน้อย 2 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหาที่บ้าน เนื่องจากแชร์โพสต์การชุมนุมอีกด้วย และแชร์โพสต์กรณีนักเรียนถูกตำรวจคุกคามที่บ้าน จากเพจ “SuratDemocrat” อีกด้วย

ศูนย์ทนายฯ ระบุว่า การชุมนุม #สุราษฎร์จะฟาดเผด็จการ เป็นกิจกรรมแฟลชม็อบ จัดขึ้นที่ สะพานนริศ ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2563 เวลาประมาณ 16.00 – 17.30 น. ประชาไท รายงานว่า กิจกรรมเกิดจากการนัดหมายกันผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “SuratDemocrat” โดยได้มีการประกาศนัดหมายตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. 2563 และได้มีกลุ่มนักเรียนและบุคคลทั่วไป ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวนกว่า 100 คน เข้าร่วม โดยกิจกรรมในวันนั้นมีเจ้าหน้าที่รัฐมาสังเกตการณ์กว่า 20 นาย

ในเวที ได้มีการเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลโดยแบ่งออกเป็น 3 ข้อ คือ 1. ยุบสภาและคืนอำนาจให้กับประชาชน จัดการเลือกตั้งใหม่ 2. หยุดคุกคามประชาชนและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน 3. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีตัวแทนของประชาชน นอกจากข้อเสนอดังกล่าวแล้ว ได้มีการออกมาปราศรัยในหลายประเด็นอีกด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net