บรรยากาศทิวทัศน์ที่สงบเงียบสองฝั่งแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงคาน จ.เลย อาจดูสวยงามดีหากมองด้วยตาเปล่า แต่แท้จริงแล้วระบบนิเวศและวิถีชุมชนกำลังเสียหายอย่างรุนแรงเพราะการสร้างเขื่อนอย่างไม่หยุดหย่อนของประเทศต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อของฤดูกาลน้ำหลาก-น้ำลดของพื้นที่
แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำนานาชาติที่ยาวเป็นอันดับ 7 ของโลก (4,880 กิโลเมตร) มีที่มาจากการละลายของหิมะในที่ราบสูงทิเบต ไหลจากเทือกเขาหิมาลัยผ่านประเทศจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม สำหรับในส่วนของประเทศไทย แม่น้ำโขงจะไหลผ่านบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ก่อนไหลเข้าสู่ประเทศลาวและไหลกลับสู่ประเทศไทยถึงอ.เชียงคาน จ.เลย แล้วผ่าน จ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบลธานี ไปสู่ประเทศกัมพูชา
ภาพทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงคาน จ.เลย
แม่น้ำโขงสัมพันธ์กับรัฐ ชุมชน และระบบนิเวศของไทยอย่างลึกซึ้ง เพราะแม่น้ำโขงไม่เพียงแต่เป็นเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่ยังเชื่อมโยงกับวิถีชุมชนของประชาชนและวงจรชีวิตของสัตว์น้ำ สำหรับอำเภอเชียงคาน ปกติแล้วในหนึ่งปีวงจรของแม่น้ำโขงจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา อาจเรียกได้เช่นกันว่านี่คือ "ปฏิทินน้ำ" ของแม่น้ำโขงซึ่งผูกโยงกับวงจรชีวิตของปลาและประชาชนในพื้นที่
ช่วงแรกคือฤดูน้ำหลาก เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ในช่วงนี้ปลาจะว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยวเข้ามาหลบในแม่น้ำสาขาเพื่อวางไข่ขยายพันธุ์ สำหรับในพื้นที่ของอำเภอเชียงคาน ปลาจะมาวางไข่อยู่ที่ปากแม่น้ำเลย ขณะเดียวกัน ชาวประมงจะจับปลาในแม่น้ำโขงได้ยากเพราะระดับน้ำสูงและกระแสน้ำเชี่ยว ส่วนปลาที่เข้าไปวางไข่ในแม่น้ำเลย คนในพื้นที่จะจับปลาไข่ได้บ้าง แต่จัวได้ไม่มากเพราะปลาจับยากในฤดูน้ำหลาก จึงไม่ส่งผลกระทบต่อประชากรปลา
ช่วงต่อมาคือฤดูน้ำลด เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงพฤษภาคม ในช่วงนี้ปลาจะอพยพว่ายไปยังปลายน้ำเพื่อหาอาหารหลังวางไข่ เป็นโอกาสที่ชาวประมงจับปลาได้มากขึ้น ปลาส่วนใหญ่ที่ชาวประมงจับได้ในแม่น้ำโขงคือปลาอพยพ ซึ่งเนื้อแน่นกว่าปลาเลี้ยงทั่วไปเพราะต้องอพยพหากินด้วยตัวเอง แม้โดยผิวเผินแล้วจะเป็นปลาชนิดเดียวกัน แต่ถ้ามีประสบการณ์ก็จะสามารถแยกแยะได้ไม่ยากว่าปลาตัวไหนมาจากการเพาะเลี้ยง และปลาตัวไหนมาจากแม่น้ำโขง
จังหวะน้ำหลาก-น้ำลดของแต่ละปีส่งผลต่อวิถีชุมชนอย่างมาก ไม่ใช่เฉพาะในแง่ของการจับปลาเท่านั้น แต่ส่งผลต่อการเพาะปลูกด้วย เนื่องจากประกอบอาชีพประมงตลอดทั้งปีไม่ได้ ประชาชนในพื้นที่จึงหันไปทำนาข้าวที่อื่น หรือไม่ก็ปลูกพืชระยะสั้นบนตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำโขง เช่น ฟักทอง ถั่ว กะหล่ำปลี พริก มะเขือเทศ และข้าวโพด ดินที่มีความชุ่มชิ้นกำลังดีบริเวณริมน้ำโขงจะช่วยให้พืชเจริญงอกงาม โดยประชาชนในพื้นที่จะตักน้ำจากแม่น้ำโขงที่อุดมด้วยแร่ธาตุมาขึ้นมารดพืชพันธุ์บนริมตลิ่ง
เขื่อนฆ่าปลา
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงจำนวนมากกำลังส่งกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชุมชนของเชียงคานที่พรรณาไว้ข้างต้นนี้อย่างมหาศาล ปลาในแม่น้ำโขงลดลงทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เพราะปัจจัยหลายอย่างที่มีรากฐานอันเดียวกันมาจากการสร้างเขื่อน
ผลกระทบจะเห็นได้ชัดที่สุดในช่วงกลางเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2562 หลังจากเขื่อนจิงหงของจีนประกาศลดการปล่อยน้ำ พร้อมกับมีการกักเก็บน้ำเพื่อทดลองผลิตไฟฟ้าของเขื่อนไซยะบุรีของประเทศลาว ส่งผลให้น้ำลดลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี ทั้งที่เป็นฤดูน้ำหลาก
ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยระบุโดยอ้างอิงจากข้อมูลของกรมชลประทานว่าที่ อ.เชียงคาน เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม น้ำอยู่ที่ระดับ 3 เมตร นับว่าอยู่ในจุดต่ำสุดในรอบ 20 ปี ถึงแม้ในวันที่ 29 กรกฎาคม ระดับน้ำจะสูงขึ้นแล้วอยู่ที่ระดับ 6 เมตร แต่ปริมาณน้ำยังน้อยอยู่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 10 เมตร
ที่จริงแล้วการที่ระดับน้ำลดลงให้ประโยชน์ระยะสั้นกับผู้ประกอบอาชีพประมง จากการพูดคุยกับชาวประมงที่ อ.เชียงคานพบว่าสามารถจับปลาได้ง่ายและเยอะขึ้นหลังจากระดับน้ำลดลง แต่นั่นหมายความว่าจำนวนปลาโดยรวมจะลดลงในปีหน้าเนื่องจากปลาถูกจับไปในช่วงที่เป็นฤดูน้ำหลากซึ่งเป็นช่วงเวลาวางไข่
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลกระทบที่สั่งสมมาตลอดหลายสิบปี ชาญณรงค์ วงศ์ลา ผู้ประสานของวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกษตรริมโขง ประมงพื้นบ้านเชียงคาน และนักวิจัยไทยบ้านของ สกว. พบว่าปลาไม่มีเกร็ดขนาดใหญ่ (หรือเรียกอีกอย่างว่าปลาหนัง) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความหลากหลายทางชีวภาพของแม่น้ำโขง ปัจจุบันเหลืออยู่น้อยมาก ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปอีกแล้ว ตัวอย่างเช่น ปลาบึกที่ชาวประมงจับในแม่น้ำโขงได้ครั้งสุดท้ายเมื่อ ค.ศ. 2532 แม้จะมีความพยายามในการเพาะพันธุ์ปลาบึกเพื่อการอนุรักษ์ แต่ลักษณะของปลาบึกพันธุ์ผสมก็ไ่ม่เหมือนกับปลาบึกที่เคยพบเห็นได้ในแม่น้ำโขง
ชาวประมงเชียงคานและปลาจอบที่จับได้มีน้ำหนัก 7-8 กิโลกรัม
ส่วนใหญ่แล้ว ปัจจุบันชาวประมงจะจับได้แต่เฉพาะปลาที่มีเกร็ด ซึ่งเอาตัวรอดได้ดีกว่าเพราะผิวมีเกร็ดแข็งแรงและวางไข่เยอะกว่า ตัวอย่างเช่น ปลาจอบซึ่งปกติแล้วขายได้อยู่ที่ราคากิโลละ 200 บาท ตัวหนึ่งมีน้ำหนักตั้งแต่ 3-13กิโลกรัม หลังจากพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อไปขายที่ตลาด ร้านอาหารจะนิยมนำไปเสิร์ฟเป็นเมนูต้มยำ อย่างไรก็ตาม ชาญณรงค์ ระบุว่าปริมาณปลามีเกร็ดที่จับได้ลดลงเช่นกัน เพราะการสร้างเขื่อนต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา
การสร้างเขื่อนต่าง ๆ ส่งผลต่อวงจรชีวิตของปลาและชุมชนในอำเภอเชียงคานอย่างมาก เพราะเขื่อนไปปิดเส้นทางการอพยพของปลา ทำให้ปลาไม่สามารถว่ายกลับมาวางไข่ตามแม่น้ำสาขาต่าง ๆ ได้ ในกรณีของเขื่อนไซยะบุรี แม้บริษัท ช. การช่างจะยืนยันว่าได้ภายในเขื่อนได้มีการจัดทางเอาไว้สำหรับให้ปลาอพยพแล้ว แต่บริษัทยังไม่ได้ตอบกับผู้สื่อข่าวที่ไปดูงานว่ามีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบแล้วหรือไม่
นอกจากนี้ การสร้างเขื่อนไซยะบุรียังส่งกระทบต่อความผันผวนของระดับน้ำ ส่งผลกระทบต่อ "ปฏิทินน้ำ" ของแม่น้ำโขง รวมไปถึงวงจรชีวิตของปลาและชุมชนทั้งระบบ จากที่เคยแบ่งออกเป็นหรือฤดูน้ำหลาก-น้ำลด ระดับการขึ้นลงของน้ำจะมีความผันผวนมากเพราะขึ้นอยู่กับการกักน้ำและปล่อยน้ำของเขื่อน ส่งผลต่ออุณหภูมิและปริมาณตะกอนของน้ำในบริเวณที่ปลาวางไข่ ลูกปลาฟักตัวได้น้อยลง หลายครั้งปลาที่วางไข่ไม่สามารถปรับตัวในสภาพที่ระดับน้ำผันผวนได้และตายในที่สุด (กรณีแบบนี้เห็นได้ชัดที่สุดในแหล่งน้ำที่ อ.บ้านม่วง จังหวัดหนองคาย)
ชาญณรงค์ระบุว่า เชื่อนเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อผลิตไฟฟ้า โดยไม่ได้คำนึงถึง "ปฏิทินน้ำ" ที่เชื่อมโยงกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ในประเด็นนี้ บริษัท ช. การช่าง ยืนยันมาตลอดว่าเขื่อนไซยะบุรีไม่สามารถเก็บน้ำได้ ทำได้แค่ "ยกระดับน้ำ" เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าการใช้คำเช่นนี้ต่างจากการเรียก "น้ำท่วม" ว่า "น้ำรอระบาย" หรือไม่ เนื่องจากอยู่ใกล้ภาคอีสานมากที่สุด เขื่อนไซยะบุรีจึงส่งผลกระทบต่อระดับน้ำในพื้นที่อย่างฉับพลัน อย่างไรก็ตาม เขื่อนไซยะบุรีเป็นเพียงหนึ่งในเขื่อนทั้งหมด 39 แห่งของแม่น้ำโขงสายหลักและสายสาขา
เขื่อนฆ่าชุมชน
เมื่อวงจรชีวิตปลาได้รับผลกระทบ จากเขื่อน ผู้ประกอบอาชีพประมงจึงได้รับผลกระทบไปด้วย โรเบิร์ต มาเธอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำโขง ระบุว่าอุตสาหกรรมประมงจะค่อย ๆ หายไปพร้อมกับปลาในแม่น้ำโขง ภูมิปัญญาประมงท้องถิ่นที่มีความเป็นมายาวนานก็จะพลอยหายไปด้วย โดยสิ่งที่จะเข้ามาแทนที่คืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เนื่องจากผลกระทบต่อระบบนิเวศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทิวทัศน์ของริมแม่น้ำโขง
โรเบิร์ต ระบุเพิ่มเติมว่า อ.เชียงคาน ยังโชคดีที่เป็นจุดยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ประชาชนจึงยังพอปรับตัวได้ แต่จากมุมมองของประชาชนในพื้นที่ การปรับตัวที่ว่านี้ถือเป็นเรื่องน่าเศร้า ชาวประมง อ.เชียงคานระบุว่า จากเดิมที่เคยประกอบอาชีพหาปลาและปลูกพืชระยะสั้นที่บริเวณริมตลิ่ง ปัจจุบันปลาหาจับได้ยากขึ้น ส่วนการปลูกพืชระยะสั้นที่บริเวณริมตลิ่งก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เพราะระดับน้ำผันผวน ทำให้ไม่สามารถประเมินได้ว่าแปลงผักริมตลิ่งควรมีความสูงเหนือน้ำเท่าใด เวลาปลูกถ้าไม่โดนท่วมในเวลาต่อมา ก็จะแห้งกรังขาดความชื้นไปเลย เพราะความผันผวนของระดับน้ำ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทุกวันนี้ประกอบอาชีพอย่างไร ชาวประมงตอบว่าต้องหันไปทำนาและเป็นแรงงานรับเหมาก่อสร้างแทน แต่ต่อให้ไปทำนาบางพื้นที่ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยระบุว่าในช่วงเดือนกรกฏาคมที่มีการทดลองไฟฟ้าที่เขื่อนไซยะบุรี หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลคือประชาชนต้องจ่ายค่าไฟสูงขึ้นเพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ในการเกษตร เนื่องจากน้ำน้อยจึงทำให้สูบน้ำยากและต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น
เขื่อนศรีสองรักษ์: ทางแพร่งความมั่นคง
ผลของการสร้างเขื่อนต่าง ๆ ที่กระทบต่อชุมชนริมน้ำโขงของ อ.เชียงคานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพปัญหาทั้งหมดเท่านั้น หากมองมุมกว้างในระดับระหว่างประเทศ จะพบว่าในแง่หนึ่งแล้วปริมาณเขื่อนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ติดแม่น้ำโขงซึ่งยังเป็นไปในลักษณะไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน
เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งเริ่มสร้างเขื่อนเพื่อกักตุนน้ำไว้ใช้ (ตัวอย่างเช่น โครงการสร้างเขื่อนเพื่อเป็น Battery of Asia ของรัฐบาลลาว) ประเทศอื่น ๆ ก็จะเกิดความกลัวว่าจะไม่มีน้ำไว้ใช้ จนนำไปสู่การสร้างเขื่อนเพื่อกักตุนน้ำไว้ใช้บ้าง ในแง่หนึ่งแล้วการขยายตัวขึ้นของเขื่อนจึงเป็นภาพสะท้อนของทางแพร่งของความมั่นคง หรือภาษาอังกฤษเรียกว่าsecurity dilemma
เขื่อนศรีสองรักษ์ของไทยที่กำลังเริ่มสร้างแล้ว สะท้อนให้เห็นสภาวะปัญหาที่ว่านี้ได้เป็นอย่างดี
ผู้ว่าราชการจังหวัดเลยให้ข้อมูลว่าแม่น้ำเลยเป็นแม่น้ำสาขาที่ไหลลงสมทบกับแม่น้ำโขงสายหลัก เมื่อแม่น้ำโขงระดับน้ำลดลงและมีความผันผวนสูงขึ้นเพราะการสร้างเขื่อนในที่อื่น ๆ ประเทศไทยจึงต้องสร้างเขื่อนเพื่อเก็บน้ำของแม่น้ำเลยไว้ใช้ก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง
ชุมชนบ้านกลางคัดค้านการสร้างเขื่อนศรีสองรัก
ในระยะยาว เขื่อนศรีสองรักษ์จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโขง-เลย-ชี-มูล กล่าวคือตามธรรมชาติแล้วน้ำของแม่น้ำเลยจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง แต่เขื่อนศรีสองรักษ์จะเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ โดยผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาสู่แม่น้ำเลย จากนั้นลำเลียงน้ำผ่านอุโมงค์ไปสู่เขื่อนต่าง ๆ ในแม่น้ำชีและแม่น้ำมูลเพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมในภาคอีสาน ปัจจุบันเริ่มมีชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนต่าง ๆ ตามแผนโครงการออกมาคัดค้านแล้ว
แต่การสร้างเขื่อนศรีสองรักษ์ก็จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนเช่นกัน ชาวประมง อ.เชียงคานระบุว่าการสร้างเขื่อนศรีสองรักษ์จะส่งผลให้ปลาไม่สามารถเข้าไปวางไข่ในแม่น้ำเลยซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาได้ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2562 ประชาชนในชุมชนบ้านกลาง อ.เชียงคาน ยังได้ถือป้ายเดินขบวนมายื่นหนังสือแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย โดยขอให้มีพิจารณาทบทวนแผนการสร้างเขื่อนอีกครั้งด้วย
หนูเอื้อ บุนเทียน 57 ปี ให้ข้อมูลว่าที่ชุมชนบ้านกลางเคยน้ำท่วมใหญ่สองครั้งใน พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2540 เพราะเป็นพื้นที่แอ่งกระทะซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเลย หากมีการสร้างเขื่อนจะส่งผลทำให้ระดับน้ำของแม่น้ำเลยสูงขึ้นจนชุมชนได้รับผลกระทบ
ปกติแล้วประชาชนเรียกว่าแม่น้ำเลยเป็น "ตู้กับข้าว" ของชุมชน ในช่วงฤดูน้ำลด บริเวณริมน้ำของบ้านกลางจะมีพืชริมน้ำและสัตว์น้ำตื้นอยู่ตามธรรมชาติ ประชาชนพื้นที่จะนำผักปลาและกุ้งหอยจากแม่น้ำเลยมาประกอบอาหาร อยู่ได้อย่างพอมีพอกินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่ถ้าระดับน้ำสูงขึ้น ประชาชนก็หวังพึ่ง "ตู้กับข้าว" ของชุมชนไม่ได้อีกต่อไป
เขื่อนศรีสองรักษ์เป็นเพียงหนึ่งในเขื่อนจำนวนมากที่จะเกิดขึ้นเพราะความไม่ไว้วางใจกันในภูมิภาค หากยังไม่มีกติการะหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ และยังไม่มีการประเมินผลในภาพรวม ผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศตลอดทั้งภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงคงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก
ผักเผาะแผะ พืชน้ำตื้นในแม่น้ำเลยที่ประชาชนในพื้นที่นำมาประกอบอาหาร
โรเบิร์ต มาเธอร์ระบุว่าแม้การสร้างเขื่อนในปัจจุบันจะมีการปรับปรุงให้เป็นไปตามเกณฑ์ของการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรือ EIA แต่การประเมินลักษณะนี้พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ทำให้ไม่เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมดในภาพใหญ่ ต่อให้มีการปรับแผนการสร้างเขื่อนแห่งหนึ่งเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่ผลกระทบที่ลดลงของหลาย ๆ เขื่อนก็ยังสามารถทบทวีจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
ทางออกในตอนนี้คือการหยุดสร้างเขื่อนเพิ่ม และหากอาเซียนจริงใจเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนเหมือนอย่างที่โฆษณา รัฐบาลต่าง ๆ ต้องหันหน้าคุยกันและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ทั้งยังพิจารณาถึงระบบนิเวศในแม่น้ำโขงโดยอาศัยความรู้ภูมิปัญญาของชุมชนมากขึ้น แต่ละเขื่อนควรมีการจัดตารางเวลาร่วมกันเพื่อผลัดเวียนกันกักเก็บน้ำและปล่อยน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้ระดับน้ำผันผวนจนเกินไปจนสัตว์น้ำและวิถีชุมชนต้องสูญพันธุ์
การลงเก็บข้อมูลภาคสนามได้รับการสนับสนุนจากชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)