Skip to main content
sharethis

5 พ.ย. 2549 เมื่อวันที่ 4 พ.ย. นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ทำจดหมายเปิดผนึกถึงรักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรื่องขอให้ชะลอการออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาในคดีการหายตัวไปของนายสมชาย พร้อมกันนี้ได้ทำสำเนาจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าพนักงานสอบสวน และสำนักงานอัยการสูงสุดด้วย

 

เนื้อความในจดหมายระบุว่า ภายหลังการเปิดเผยข้อมูลการบังคับให้หายตัวไปของนายสมชาย ของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำให้ดีเอสไอ มีความพยายามที่จะเร่งรีบขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อจะคลี่คลายคดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นนิมิตหมายดี ที่จะทำให้ดีเอสไอจะปฏิรูปตัวเอง เพื่อจะสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชน

 

อย่างไรก็ดี ในกรณีการหายตัวไปของนายสมชายนั้น แม้จะมีพยานหลักฐานมากมาย แต่พยานหลักฐานส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไป โดยไม่มีการนำกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการหาพยานหลักฐาน และความบกพร่องในการคุ้มครองพยาน ทำให้ประจักษ์พยานถูกข่มขู่คุกคาม และไม่มีความมั่นใจในความปลอดภัยที่จะเข้ามาให้การเป็นพยาน

 

ทั้งนี้ แม้ในขณะนี้ก็น่าเชื่อว่าแม้ดีเอสไอมีความพยายามที่จะหาตัวผู้กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยการแถลงของสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ในการที่จะออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายสมชาย แต่ในฐานะผู้เสียหายยังมีข้อกังวลและห่วงใยในการเร่งรีบที่จะออกหมายจับกุมโดยขาดพยานหลักฐานที่จะสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าได้ โดยตั้งข้อสังเกต ดังนี้

 

1.หลักฐานสำคัญซึ่งเป็นข้อมูลการใช้โทรศัพท์ คือเอกสารหมาย จ.111 ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ประกอบการพิจารณาคดีในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไปแล้ว และศาลได้ชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของเอกสารนี้ว่า เอกสารฉบับนี้ขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นเพียงสำเนาเอกสาร ไม่มีหนังสือรับรองความถูกต้องจากบริษัทผู้ให้บริการ และไม่มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่มาเบิกความเพื่อยืนยันความถูกต้องของเอกสาร

 

ซึ่งแม้บัดนี้ ดีเอสไอจะรับคดีการหายตัวไปของนายสมชายไว้เป็นคดีพิเศษมากว่า 1 ปีแล้ว แต่ก็ยังมิได้มีความพยายามที่จะทำให้เอกสารชิ้นนี้เป็นเอกสารที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพื่อจะสามารถนำมาใช้ประกอบการพิจารณาคดีในคดีการหายตัวไปของนายสมชายได้

 

2.การสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ จนถึงบัดนี้ยังไม่แล้วเสร็จ มีพยานสำคัญหลายปากที่ยังมิได้มาให้ปากคำ บางส่วนเนื่องจากถูกข่มขู่คุกคาม บางส่วนเนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วยกันเอง และดีเอสไอก็มิได้มีมาตรการในการที่จะคุ้มครองพยานเพื่อให้ความมั่นใจแก่พยานเหล่านั้น

 

3.แม้ในขณะนี้ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะลงพื้นที่ใน จ.ราชบุรี เพื่อจะค้นหาพยานหลักฐาน แต่มิได้รับทราบข้อมูลคำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์จริง มีเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของดีเอสไอที่ลงไปชี้จุดที่ต้องสงสัยเท่านั้น โดยยังมิได้ให้รายละเอียดและข้อมูลที่น่าเชื่อถือแต่ประการใด

4.จากคำยืนยันของโฆษกดีเอสไอ และร่วมเป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ เมื่อวันที่  1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ได้ยืนยันว่าขณะนี้พยานหลักฐานยังไม่สมบูรณ์ ไม่เพียงพอที่จะเอาผิดแก่ผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าได้ 

 

5.เนื่องจากมีผู้หวังดีได้พยายามให้เบาะแส และข้อมูลในการหายตัวไปของนายสมชายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ภายหลังรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ยืนยันเจตนารมณ์ในการที่จะคลี่คลายคดีนี้ ดีเอสไอจึงควรต้องรับฟังพยานเหล่านั้นให้ครบถ้วน และให้เวลาสืบสวนสอบสวนอย่างเต็มที่ โดยไม่เร่งรัดรีบร้อนที่จะปิดคดีดังเช่นที่ปรากฏอยู่

 

6.เนื่องจาก พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ จะย้ายไปรับราชการที่หน่วยงานอื่น จึงไม่เป็นการสมควรที่จะอนุมัติหมายจับกุมอย่างเร่งรีบ เพราะการออกหมายจับและการดำเนินการจับกุมโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอไปแล้วนั้น จะทำให้เวลาการทำงานของพนักงานสืบสวนสอบสวนจะจำกัดลง ควรให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษคนใหม่ใช้เวลาในพิจารณาไตร่ตรองสำนวนการสอบสวนอย่างรัดกุม ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรม

 

จดหมายเปิดผนึกระบุอีกว่า จากเหตุผลต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมในการที่จะออกหมายจับกุมผู้กระทำความผิดในข้อหาฆ่า และปิดบังอำพรางศพนายสมชายได้ ซึ่งหากสำนักงานอัยการสูงสุดและดีเอสไอยังยืนยันที่จะออกหมายจับกุมผู้กระทำความผิดทั้งที่ไม่มีพยานหลักฐานสำคัญเพียงพอ ย่อมจะส่งผลเสียต่อรูปคดี และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อกระบวนการยุติธรรมดังปรากฏในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นในข้อหากักขังหน่วงเหนียวและปล้นทรัพย์ ซึ่งไม่สามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้งหมดได้

 

สำหรับคดีหายตัวไปของนายสมชายเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากภาคประชาสังคมทั้งในและต่างประเทศ เพราะการทำให้หายไปของบุคคลถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่สุด และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม

 

ทั้งนี้ในฐานะครอบครัวของนายสมชาย ซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยชอบธรรม จึงขอร้องเรียนขอให้ชะลอการออกหมายจับกุมกลุ่มบุคคลที่เชื่อว่าน่าจะมีส่วนในการฆาตกรรมนายสมชาย โดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดต่อผู้กระทำผิดได้

 

และขอเรียกร้องให้สำนักงานอัยการสูงสุดและกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาทบทวนการออกหมายจับในกรณีดังกล่าว และจะขอเข้าพบท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และท่านปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ เวลา 14.30 น.

ต่อมาเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน นางอังคณา ให้สัมภาษณ์ที่บ้านพักย่านธนบุรีถึงสาเหตุที่ส่งจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  ชะลอการออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาว่า หลังจากทราบข่าวว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดเตรียมออกหมายจับผู้กระทำความผิดภายในสัปดาห์หน้า ทำให้เกิดความไม่สบายใจ เนื่องจากโฆษกดีเอสไอยังยืนยันว่า พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะส่งฟ้อง ซึ่งตลอดเวลาได้พยายามสอบถามไปทางดีเอสไอถึงพยานหลักฐานที่เชื่อมั่นว่าจะเอาผิดผู้กระทำผิดได้ แต่ไม่ได้รับการเปิดเผย เช่น เอกสารบันทึกการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงเกิดเหตุก็ยังไม่มีการทำให้เป็นเอกสารที่ถูกต้องได้ เป็นต้น

 

"เมื่อความผิดพลาดต่างๆ ยังไม่ถูกแก้ไข เมื่อส่งฟ้องศาลไป ดิฉันก็เชื่อว่าไม่น่าจะเอาผิดกับคนผิดได้ ดิฉันขอร้องให้ชะลอการออกหมายจับ เพราะเมื่อออกหมายจับแล้วก็จะติดเงื่อนไขเวลา ที่จะผัดฟ้องได้ 7 ครั้ง พอครบ 84 วัน พยานหลักฐานมีแค่ไหนก็ต้องส่งฟ้อง แล้วทีนี้เราก็จะเสียเปรียบ เพราะแทนที่จะทอดเวลาออกไปอีก 2-3 เดือนก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่ คมช. มาติดตามจริงจัง ก็เริ่มมีพยานกล้าออกมาพูด ทำไมไม่รอ ทำไมจึงต้องเร่งรีบที่จะตัดหลักฐานให้มีแค่นี้ ดิฉันพยายามเร่งรัดการทำงานมาตลอด แต่ไม่เคยเร่งรัดให้เร่งรีบออกหมายจับใครโดยที่ไม่มีหลักฐานเพียงพอจะเอาผิด" นางอังคณา กล่าว

 

นางอังคณา ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า รู้สึกว่าคณะกรรมการสอบสวนคดีนี้มีความขัดแย้ง และมีความเห็นไม่ลงรอยกัน ซึ่งเท่าที่ได้คุยกับพนักงานสอบสวน ได้รับคำยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอจะฟ้อง แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกส่วนหนึ่งไปพบทางอัยการสูงสุดแล้วเร่งรีบออกหมายจับ ทั้งนี้เมื่อดีเอสไอยังไม่เห็นพ้องต้องกัน เหตุใดจึงต้องเร่งรีบ โดยความไม่เป็นเอกภาพของพนักงานสอบสวนตรงนี้จะส่งผลเสียหายต่อครอบครัวเพียงผู้เดียว

 

นางอังคณา ยังแสดงความหวังว่า การสืบสวนหาพยานหลักฐานของคดีจะดีขึ้น ซึ่งภายหลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งเปลี่ยนอธิบดีดีเอสไอเป็นคนใหม่ หากอธิบดีคนใหม่มีความจริงใจที่จะทำคดี แล้วให้เวลาทำงานอีก 2-3 เดือนคิดว่าไม่ช้าเกินไป ทั้งนี้โดยส่วนตัวมีความเชื่อมั่นในตัว พล.อ.สนธิว่า มีความจริงใจที่จะคลี่คลายคดีนี้จริง รวมทั้งเชื่อว่า พล.อ.สนธิ มีข้อมูลอีกมาก และอาจขอเรียนเชิญท่านมาให้การเพื่อประโยชน์ต่อรูปคดี

 

อย่างไรก็ตาม นางอังคณา กล่าวถึงความเป็นอยู่ในช่วงนี้ว่า ได้รับการข่มขู่หนักขึ้น โดยมีชายลึกลับโทรศัพท์ฝากเพื่อนของเธอมาเตือน โดยข่มขู่ว่าคราวนี้จะเอาให้หนัก ขณะที่มีคนโทรศัพท์มาให้เบาะแสเพิ่มเติมจำนวนมากเช่นกัน  ซึ่งก็ได้ส่งต่อไปให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอดำเนินการต่อ

 

อัยการรับลูก หาหลักฐานเพิ่มก่อนขอหมายจับ

ด้านนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อัยการคดีพิเศษ กล่าวถึงการออกหมายจับผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าและเผาทำลายศพ นายสมชาย ว่า จากการประชุมตรวจสำนวนคดี พยาน เอกสารและคำให้การของพยานบุคคล คณะพนักงานสอบสวนรวมระหว่างอัยการและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีความเห็นตรงกันในหลักการว่า ควรนำหลักฐานทั้งหมดไปขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา เพื่อจับกุมผู้ต้องหาในคดีฆ่าคนตายโดยเจตนา เนื่องจากการสอบสวนมีหลักฐานบ่งชี้ว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยพาตัวนายสมชายไปฆ่าและเผาทำลายศพ  ในส่วนของผู้บงการฆ่าพนักงานสอบสวนจะต้องขยายผลให้ได้หลักฐานที่ชัดเจนเสียก่อนจึงจะขออนุมัติหมายจับ

 

นายวัชรินทร์ กล่าวอีกว่า กรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่า จะมีการออกหมายจับนายตำรวจระดับพลตำรวจเอก พลตำรวจโท และพลตำรวจตรี  เป็นการรายงานข่าวที่เกินความจริง ยืนยันว่าการสอบสวนของดีเอสไอยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงถึงผู้บงการเบื้องหลัง เขาจึงอยากขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนให้ระมัดระวังการเสนอข่าว โดยควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยเนื้อหาในสำนวนคดี เพราะจะส่งผลกระทบต่อรูปคดีและยังเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย

 

ดีเอสไอขอเวลารวบรวมหลักฐานอีก 2 อาทิตย์

ขณะที่พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ในฐานะที่เขารับผิดชอบงานด้านสอบสวนคดีทนายสมชาย คงยืนยันที่จะไม่ขออนุมัติหมายจับทันทีตามที่อัยการสูงสุดระบุ แม้ขณะนี้จะมีหลักฐานมากพอที่ศาลจะอนุมัติหมายจับ แต่สังคมอดทนรอการไขปริศนาคดีนี้มานานเกือบ3 ปี เขาจึงขอเวลาอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ที่สุด โดยเหตุผลดังกล่าว จนได้อธิบายทำความเข้าใจกับนางอังคณา จนเข้าใจตรงกันแล้ว

 

ทั้งนี้เมื่อศาลอนุมัติหมายจับดีเอสไอจะคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เพื่อไม่ให้ออกไปข่มขู่หรือยุ่งเหยิง กับพยานหลักฐานจนเสียรูปคดี ในส่วนของพยานบุคคลปากสำคัญก็จะนำตัวมาคุ้มครองความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ

 "การรีบขอหมายจับโดยหลักฐานยังไม่แน่นหนาพอ จะเป็นการสร้างกรอบบีบคั้นตัวเองที่จะต้องส่งฟ้อง คดีให้ทันภายใน 84 วัน ผมศึกษาถึงข้อผิดพลาด บกพร่องในสำนวนการสอบสวนของตำรวจมาแล้ว จึงไม่อยากให้ดีเอสไอต้องไปผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก"

 

พ.อ.ปิยะวัฒก์  กล่าวต่อว่า ดีเอสไอจะรอให้ผลการตรวจสอบบ่อเผาขยะของเทศบาลตำบลห้วยชินสีห์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก่อน ถึงแม้ความหวังในการพบชิ้นส่วนอวัยวะหรือร่องรอยการเผาทำลายศพนายสมชายจะเหลือน้อยเต็มที แต่พนักงานสอบสวนยังไม่หมดหวัง โดยในวันที่ 6 พ.ย.นี้ นายไกรสร บารมีอวยชัย จะเข้ารับตำแหน่งรักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  คาดว่าจะมีการเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบความแน่นหนาของพยานหลักฐานกันอีกครั้ง

 

คุณหญิงหมอ พบกระดูกร่วม 500 ชิ้น

ด้านพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยระหว่างนำทีมงานเข้าตรวจสอบพื้นที่บริเวณจุดกำจัดขยะเทศบาลห้วยชินสีห์ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งจากทางการสืบสวนเชื่อว่าเป็นสถานที่เผาทำลายศพนายสมชายว่า วันนี้ (4 พ.ย.)ได้ตรวจพื้นที่เพิ่มอีก 40 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นางอังคณา ได้มาชี้จุดไว้ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านในพื้นที่ และได้พบกระดูกที่สงสัยว่าเป็นกระดูกมนุษย์จำนวนมากพอสมควร

         

โดยวันนี้ (4พ.ย.) คงจะเป็นวันสุดท้ายที่จะตรวจในพื้นที่ เนื่องจากไม่มีพื้นที่เป้าหมายที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือนางอังคณา ได้มาชี้บอกไว้เพิ่มเติมอีก ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย.นั้น สรุปว่าพบกระดูกที่ต้องสงสัยเป็นกระดูกมนุษย์หลายขนาดไม่ต่ำกว่า 500 ชิ้น ในประมาณ 7 เขตพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระดูกที่มีร่องรอยการเผา แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นกระดูกส่วนใดบ้าง โดยหลังจากนี้จะนำกระดูกที่พบไปดำเนินการตรวจที่กทม. ต่อไป คาดว่าใช้เวลานานหลายเดือน

          

นอกจากนี้ สำหรับที่มีประชาชนมาร้องขอให้ตรวจสอบกระดูกที่พบว่า อาจเป็นของญาติที่หายไปนั้น เธอก็จะช่วยตรวจให้ด้วย เพราะหากกระดูกที่พบทั้ง 7 จุด เป็นกระดูกมนุษย์ ก็คงจะเป็นคนละศพกันอยู่แล้ว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้นัดให้นางอังคณาเข้าพบที่ห้องทำงานกระทรวงยุติธรรม ในวันที่ 8 พ.ย.เพื่อสอบถามรายละเอียดในการต่อสู้คดี และมูลเหตุจูงใจในการหายตัวของนายสมชาย  รวมทั้งจะชี้แจงข้อกฎหมายและหลักฐานที่ดีเอสไอเตรียมที่จะขออนุมัติหมายจับในคดีฆ่าคนตายโดยเจตนากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการอุ้มฆ่านายสมชาย

 

 

...........

เรียบเรียงจากเว็บไซต์คมชัดลึก และผู้จัดการออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net