สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2557 ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องของนางอังคณาที่ขอให้มีการสืบพยานเพิ่มเติม โดยขอให้ศาลเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงมายืนยันความถูกต้องของข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของนายสมชาย และผู้เกี่ยวข้องกับการบังคับสูญหายนายสมชาย ในคดีที่พันตำรวจตรีเงิน ทองสุก พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจรวม 5 นาย เป็นจำเลยในคดีร่วมกันปล้นทรัพย์และข่มขืนใจนายสมชาย โดยศาลฎีกาให้เหตุผลว่าในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ โจทก์ไม่ได้นำพยานเข้าสืบ

 

แอมเนสตี้ฯ ระบุว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง เพราะถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานถึง 10 ปี หลังจากการสูญหายของนายสมชาย แต่ความจริงกลับยังไม่ปรากฏ และผู้กระทำผิดยังไม่ถูกลงโทษ ทั้งนี้ศาลยังไม่ได้พิจารณาคำร้องของนางอังคณาในประเด็นที่นางอังคณาและครอบครัวขอเป็นโจทก์ร่วมในคดี แต่การพิจารณาคดีครั้งล่าสุดนี้ไม่อาจหยุดยั้งแรงสนับสนุนจากทั่วโลกที่จะช่วยกันเรียกร้องความยุติธรรมให้กับนายสมชาย และครอบครัวที่ได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานและยากลำบากเพื่อที่จะให้ได้รับการชดเชยเยียวยา

 

แอมเนสตี้ฯ ย้ำด้วยว่า การค้นหาความจริงและความยุติธรรมกรณีการถูกบังคับให้สูญหายของนายสมชายถือเป็นบททดสอบสำคัญในแง่ของการเคารพสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย รวมทั้งการให้การเยียวยาและการชดเชยเมื่อเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้น อีกทั้งยังทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความจริงใจหรือความสามารถของทางการไทยในการแก้ปัญหาการลอยนวลพ้นผิดของผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศด้วย

 

ทั้งนี้ แอมเนสตี้ ยังได้เรียกร้องอีกครั้งให้ทางการไทยยุติการลอยนวลพ้นผิด และประกันให้มีการสืบสวนสอบสวนโดยพลัน อย่างถี่ถ้วน เป็นอิสระและไม่ลำเอียง ต่อการแจ้งความกรณีที่มีบุคคลสูญหายทุกกรณี ทั้งนี้เพื่อให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และเพื่อให้การคุ้มครองอย่างเป็นผลต่อผู้เสียหาย ผู้แจ้งความ พยาน และครอบครัวของพวกเขาในระหว่างที่มีการดำเนินคดี