Skip to main content
sharethis

ตัวแทนจากไทยและกัมพูชา สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และสุทธา โรส ร่วมกันปาฐกถาที่วัดใหม่ไทรงาม อรัญประเทศ เสนอนำหลักทางพุทธศาสนาแก้ปัญหาขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตัวแทนชาวกัมพูชาเตือนไทยเป็นประเทศรุ่งเรือง แต่ถ้าไม่ระวังอาจเข้าสู่ “กัมพูชา 2” 17 พ.ค. 2554 เวลา 9.30 น. ที่วัดใหม่ไทรงาม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ตัวแทนประชาชนจากประเทศไทย และนายสุทธา โรส เครือข่ายพุทธศาสนิกกัมพูชา ตัวแทนประชาชนจากประเทศกัมพูชา ร่วมปาฐกถาในหัวข้อพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยมีประชาชนไทยและกัมพูชาพร้อมด้วยนักกิจกรรมจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว พม่า ศรีลังกา อินเดีย ร่วมกิจกรรม 000 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ คนไทยจะญาติดีกับคนกัมพูชาได้ เราต้องขอโทษเขา เราดูถูกเขา ประวัติศาสตร์สอนว่าพระนเรศวรไปตัดหัวพระยาละแวกเป็นเรื่องเหลวไหลทิ้งสิ้น เป็นการสอนประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม เป็นแบบวิหิงสธรรม เราต้องกลับมาเป็นอหิงสธรรม เราต้องขอโทษเขา เพื่อนเราก็จะยกโทษให้เรา ถ้าเราไม่ขอโทษเขา ก็เป็นแค่ของเล่น เหมือนที่ยะลาปัตตานี ถ้าไม่ขอโทษเพื่อนมุสลิม การเดินธรรมยาตราก็เป็นแค่ของเล่น กิจกรรมธรรมยาตราเพื่อสันติภาพที่ประชาชนไทย-กัมพูชาจัดขึ้นร่วมกันวานนี้ (16 พ.ค.) คือการเดินโดยมีธรรมะเป็นหัวใจ และวันนี้เป็นวิสาขบูชา เมื่อ 2,600 ปีก่อน คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งได้เปลี่ยนสภาพเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหลังจากนั้นเสด็จธรรมยาตราตลอดเวลาในชมพูทวีปเพื่อเผยแพร่ศาสนา การเดินธรรมยาตรา คือการเดินบนแผ่นดินซึ่งก็คือพระแม่ธรณี แต่ปัจจุบันเวลาเห็นพระแม่ธรณีบีบมวยผม กลับเข้าใจว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ไป แต่พรรคนี้มันเ-ยสุดๆ เลย เมื่อเดินบนแม่พระธรณี เราเคารพแม่พระธรณีซึ่งเป็นของเราทั้งหมด ไม่มีพระแม่ธรณีไทยหรือเขมร เราเดินบนพระแม่ธรณีเดียวกันหมด การแบ่งชาติ แบ่งชั้นเป็นเรื่องสมมติซึ่งให้โทษมากกว่าให้คุณ นี่คือข้อแรกที่ผมอยากจะพูด คือธรรมยาตรา คือการเดินโดยมุ่งไปที่ธรรมะ ด้วยความเคารพแม่พระธรณี ถ้าไม่เคารพ ที่เดินกันตลอด 3 วันที่ผ่านมาก็เป็นแค่ของเล่น คนไทยจะญาติดีกับคนกัมพูชาได้ เราต้องขอโทษเขา เราดูถูกเขา ประวัติศาสตร์สอนว่าพระนเรศวรไปตัดหัวพระยาละแวกเป็นเรื่องเหลวไหลทิ้งสิ้น เป็นการสอนประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม เป็นแบบวิหิงสธรรม เราต้องกลับมาเป็นอหิงสธรรม เราต้องขอโทษเขา เพื่อนเราก็จะยกโทษให้เรา ถ้าเราไม่ขอโทษเขา ก็เป็นแค่ของเล่น เหมือนที่ยะลาปัตตานี ถ้าไม่ขอโทษเพื่อนมุสลิม การเดินธรรมยาตราก็เป็นแค่ของเล่น การถือตัวว่าเราไม่เป็นเมืองขึ้นฝรั่ง เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่สุด ไม่มีประเทศไหนจะเป็นเมืองขึ้นฝรั่งมากเท่าเมืองไทย เราเป็นทาสทางปัญญาของฝรั่ง การแก้ไขความขัดแย้งเป็นเนื้อหาสาระของพุทธศาสนาเลย และประการแรกคืออย่าไปหาว่าคนอื่นเป็นเหตุ เพราะความขัดแย้งทั้งหมดอยู่ในตัวเราอง มีโลภะ ราคะ โทสะ โมหะเป็นเจ้าเรือน ทำอย่างไรจึงจะแก้ไขที่ข้างใน เพระเราทุกคนมีพุทธภาวะ มีความเป็นพระตถาคตอยู่ในตัวเรา ตถาตะ คือความเป็นเช่นนั้นเอง เราต้องแก้ที่ตัวเราเอง มีโยมนิโสมนัสสิการ ลดละอคติในตัวเอง และจะเป็นได้ก็ต้องมีกัลยาณมิตรเพื่อเตือนสติให้เราแก้ไขความขัดแย้ง ถ้าเราเริ่มเป็นกัลยาณมิตรกันระหว่างไทย-กัมพูชา ยอมรับความผิดพลาดและร่วมแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเรา ไปสู่การแก้ปัญหาระหว่างประเทศ รัฐบาลไหนก็ไม่มีปัญญาแก้ ตอนนี้กำลังจะมีการเลือกตั้ง จะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะฟังเสียงราษฎร อย่าไปเกลียดพรรคการเมือง ซึ่งเ-ยพอๆ กันนั่นแหละทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ แต่ต้องรักพรรคการเมืองเล่านี้เหมือนรักหมาที่บ้าน สันติภาพในโลกจะมีไม่ได้ เว้นแต่เราแต่ละคนจะสร้างสันติภาวะขึ้นในตัวเรา เป็นสิ่งที่องค์ดาไล ลามะ ตรัสไว้ 000 สุทธา โรส เครือข่ายสังคมพุทธศาสนากัมพูชา เท่าที่ผมเห็นประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองมากๆ ผมไม่อยากให้ประเทศไทยถอยหลังไป หากไทยไม่ระมัดระวังก็อาจจะเข้าสู่สงครามราวกับเป็นกัมพูชาที่สอง ผมเคยเสนอหนังสือร้องเรียนรัฐบาลไทยขออย่าให้ทำสงครามกันเลย ประชาชนชายแดนเดือดร้อนมาก แนวทางของพุทธศาสนาคือ ก่อนที่เราจะแก้ปัญหาอะไรเราต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหานั้นอย่างถ่องแท้เสียก่อน เมื่อเห็นปัญหาแล้วจึงนำไปสู่การแก้ไข ผมก็จะนำความรู้เล็กๆ น้อยๆ ของผมมาแลกเปลี่ยนกับพี่น้องชาวไทย ถ้าหากว่าเราเป็นพุทธศาสนิกชน ท่านก็คงจะใช้ปัญญาพิจารณาดูว่าชาวกัมพูชาอยู่ในสงครามมาเป็นระยะเวลายาวนาน หากเราเป็นกัลยาณมิตรกันต้องช่วยกันหาทางแก้ไข เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่สอง สมเด็จสีหนุก็บอกว่า อย่าไปทับถมประเทศญี่ปุ่นเลย ญี่ป่นได้รับความเดือดร้อนมากมายแล้ว แถมยังได้ฝากบอกประเทศญี่ปุ่นช่วงนั้นว่าหากมาช่วยกัมพูชาระยะหลังได้ ผมก็รู้ว่าสมเด็จสีหนุเป็นพุทธศาสนิกชนผู้หนึ่ง มีความเป็นพุทธทั้งกายวาจาใจ เท่าที่ผมเห็นประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองมากๆ ผมไม่อยากให้ประเทศไทยถอยหลังไป หากไทยไม่ระมัดระวังก็อาจจะเข้าสู่สงครามราวกับเป็นกัมพูชาที่สอง ผมเคยเสนอหนังสือร้องเรียนรัฐบาลไทยขออย่าให้ทำสงครามกันเลย ประชาชนชายแดนเดือดร้อนมาก อีกประการคือ เราต้องศึกษาประวัติของประเทศทั้งสองให้ดี เราควรจะรู้ว่าเราเป็นพี่น้องกันฉันมิตร แม้แต่พระมหากษัตริย์ก็เกี่ยวข้องกัน อีกข้อหนึ่งก็คือเราควรจะรู้ว่าพวกเราเองก็เป็นสรรพสัตว์ที่มีทุกข์สุขเช่นเดียวกัน กรณีที่เกิดที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นสึนามิ หรือปัญหาปรมาณู ก็คือธรรมะที่แสดงให้เห็นว่า วันนี้เกิดที่ญี่ป่น อนาคตก็อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยก็ได้ ตามที่ผมเข้าใจคือ ชีวิตเราสั้นนัก พุทธพจน์ก็สอนว่าเราควรจะสั่งสมบุญกุศล ด้วยเหตุนี้เราก็ควรจะช่วยกันหาทางแบ่งเบาปัญหาซึ่งกันและกัน อีกขอหนึ่ง เราควรร่วมกันสร้างเสริมสันติภาพ เราควรรักกัน และเราไม่อยากให้คนที่เรารักสูญเสียชีวิต เราจึงจะหาทางแก้ไขปัญหา ทุกวันนี้เราเริ่มบ้างแล้วจากกลุ่มเล็กๆเราควรร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ มีแต่ศีลธรรมเท่านั้นที่จะแก้ปัญหา ขอเราอย่าลืมว่าการทำงานร่วมกัน เราต้องจับมือกันให้เหนียวแน่นอย่าแตกหัก ผมก็เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งที่เข้าใจว่าจิตหรือใจนั้นเปราะบางมากแตกหักง่าย แต่ผมเชื่อว่าเราตะประสบความสำเร็จในอนาคตแน่นอน แม้แต่รัฐบาลไทยกมีความเห็นเช่นเดียวกัน รัฐบาลทั้งสองย่อมรักในสันติภาพเช่นกันเพียงแต่เราเดินไปผิดทาง เพียงแต่ประชาชนสองประเทศจับมือกัน ทำงานร่วมกัน เราจะเดินร่วมกันได้แม้ความสัมพันธ์ของเราจะเปราะบางดั่งแก้ว ความสำเร็จในการรักษาแก้งไม่ให้แตกหักก็คือความอดทน ขันติเท่านั้น ยาอีกเม็ดหนึ่งที่จะรักษาแก้วที่เปราะบางคือ ความอดทน และตั้งใจมากๆ ยาที่สำคัญที่สุดคือขณะที่เรามีความขัดแย้งกันเราต้องคิดถึงอนาคตให้มากที่สุด อนาคตที่เราต้องการสันติภาพ ความสุขสงบ เฉกเช่นกัน วิธีแก้ เราต้องหยุดยิงกันก่อน เราควรผ่อนคลายจากปัญหาก่อน อย่าใช่แนวรบเพื่อแก้ปัญหา ขอให้ถอยมาตั้งหลักแล้วสงบสติสักครู่ พุทธศาสนา คำสอนมี 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่ถ้าสรุปสั้นๆ คือการเคารพซึ่งกันและกันและไม่มีความประมาท หลังจากนั้นเราจึงจะหาทางแก้ไขได้ อย่างที่อาจารย์สุลักษณ์ได้กล่าวมาแล้ว เราควรไปมาหาสู่กัน ครั้งนี้มีจำนวนน้อย ต่อไปก็คงจะมีมากขึ้น ด้วยการไปมาหาสู่กันนี่เอง วันหลังเราก็อยากจะเชิญครอบครัวของรัฐบาลมาเดินด้วยกัน เรายินดีที่จะออกค่าใช่จ่ายให้ครอบครัวของรัฐบาลมาเดินด้วยกัน ได้เห็นหน้า พูดคุย รับประทานอาหารด้วยกันในบรรยากาศฉันมิตร เคยได้ยินมาว่าไทยกับลาวก็มีการใช้บรรยากาศเช่นนี้ในการแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องมีพุทธศาสนาเป็นแกนนำ เป็นที่น่าเสียดายที่การแก้ปัญหาที่ผ่านมาในระดับรัฐบาลไม่เคยมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธมาร่วมแก้ปัญหาด้วย หากไม่มีการนิมนต์พระสงฆ์เข้าไปร่วมแก้ปัญหา ก็อาจจะเชิญเครือข่ายชาวพุทธไปร่วมแก้ปัญหา การแก้ไขวิธีนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วระหว่างที่กัมพูชามีปัญหา เวลามีการประชุมโดยมีพระสงฆ์อยู่ร่วมด้วย ความสงบก็เกิดขึ้น เป็นธรรมดาที่พวกเรามีอวิชชาไม่สามรรถแก้ปัญหาได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้อื่นเข้ามาร่วม ผมพูดในนามโลกียชน เรามีชีวิตอยู่ในสังคมโลกนี้ก็จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และขอให้ทุกท่าน มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net