วานนี้ (12 ธ.ค.2549) นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้แก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อนุญาตให้แต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนักการเมืองได้ว่า เป็นเรื่องที่สำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้ ครม. แก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อรองรับคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังดำเนินการสอบสวน และเตรียมสรุปสำนวนให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่นายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา และคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) เล็งเห็นว่าปัจจุบันผู้พิพากษาศาลฎีกามี 87 คน ซึ่งจำนวนอาจไม่เพียงพอต่อการแต่งตั้งเป็นองค์คณะพิจารณาคดีการเมือง ที่อนาคต ป.ป.ช. และ คตส.อาจจะส่งสำนวนเข้ามาพร้อมกันจำนวนมาก ดังนั้น ประธานศาลฎีกาจึงได้เสนอแนวทางต่อ ก.บ.ศ.ว่าสมควรแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกามาเป็นองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ
นายสราวุธ กล่าวว่า สำหรับรูปแบบองค์คณะศาลฎีกาคดีอาญานักการเมืองนั้นจะมีสัดส่วน 6 : 3 คือผู้พิพากษาศาลฎีกา 6 คนที่เลือกโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา และผู้พิพากษาอาวุโส 3 คน ซึ่งประธานศาลฎีกาจะเป็นผู้ออกคำสั่งประธานศาลฎีกาเสนอบัญชีรายชื่อผู้พิพากษาอาวุโสเรียงลำดับที่ 1-6 ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกให้เหลือเพียง 3 คนที่ได้รับคะแนนสูงสุด เข้าไปร่วมเป็นองค์คณะ 9 คน วิธีการเลือกผู้พิพากษาอาวุโสเรียงตามบัญชีอาวุโสดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดการบล็อกโหวตหรือรู้ว่าผู้พิพากษาอาวุโสคนใดจะได้เป็นองค์คณะ
"นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติอนุมัติให้แก้ไขพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส จากเดิมที่กฎหมายกำหนดให้ผู้พิพากษาอาวุโสนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมาเป็นให้ผู้พิพากษาอาวุโสสามารถนั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้ด้วยเพื่อเป็นการแก้ปัญหาคดีล้นศาลสูงอีกด้วย" รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)