Skip to main content
sharethis

นักวิชาการชี้อุตสาหกรรมการผลิตไทยปรับไม่ทันพลวัตเทคโนโลยี แต่สินค้าเกษตรได้รับอานิสงส์จากตลาดโลก ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเกิดยากหากมีปัญหาข้อจำกัดภาครัฐ หนีไม่พ้นกับดักเติบโตต่ำและความเสี่ยงทางการเมืองรอบใหม่      


ที่มาภาพ: Alethea Flowers จาก Pixabay

4 ก.พ. 2567 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ และ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมส่งออกของไทยในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าอาจเติบโตต่ำจากปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมส่งออกและเศรษฐกิจไทย อุตสาหกรรมที่ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสำคัญของโลกอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์แบบสันดาปภายใน อุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (Hard Disk Drive) ไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้มีอัตราการขยายตัวที่ลดลงอย่างมากในอนาคต อุตสาหกรรมยานยนต์แบบสัปดาปภายในและทักษะแรงงานของไทยไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีสู่รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในอัตราเร่งจากปัญหาความรุนแรงของภาวะโลกร้อน หลายประเทศพัฒนาแล้วได้กำหนดเส้นตายไม่ให้รถยนต์สันดาปภายในวิ่งบนถนนอีกต่อไป ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสูญเสียตลาดการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างก้าวกระโดดในตลาดโลก ย่อมส่งผลต่อโครงสร้างการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  รถยนต์ไฟฟ้าใช้ชิ้นส่วนลดลงอย่างมากจาก 30,000 ชิ้นเหลือเพียง 1,500-2,000 ชิ้น ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ถังน้ำมัน ท่อไอเสีย อุปกรณ์และชิ้นส่วนที่ใช้ในการสันดาปต่างๆ เป็นต้น  ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยมีมากกว่า 800 แห่ง อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์มีการจ้างงานมากกว่า 600,000 คน แรงงานเหล่านี้ยังคงมีทักษะการผลิตตามเทคโนโลยีเดิมอยู่และยังมีแรงงานที่อยู่ในอุตสาหกรรมสนับสนุนจำนวนมาก นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบรถยนต์ไฟฟ้าจะส่งผลต่อธุรกิจอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันและสถานบริการน้ำมัน เพราะความต้องการในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิสจะลดลงอย่างต่อเนื่องในอนาคต   

จากงานวิจัยของ ดร. กิริยา กุลกลการ (สนับสนุนงานวิจัยโดย มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท) พบว่า มีแรงงานจำนวนไม่น้อยและสถานประกอบการในภาคการผลิตที่จะไม่มีการใช้ชิ้นส่วนเหล่านี้ในรถไฟฟ้าได้รับผลกระทบโดยตรง อย่างไรก็ดี การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะมีผลกระทบด้านบวกต่อตลาดแรงงานด้วย กล่าวคือ จะมีตำแหน่งงานใหม่ๆเกิดขึ้น โดยการผลิตชิ้นส่วนประเภทใหม่ที่ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ สถานีอัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น งานวิจัยดังกล่าวบ่งชี้ว่า ผลสุทธิต่อตลาดแรงงานจึงไม่ชัดเจนว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงของตำแหน่งงานโดยภาพรวม แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวโน้มชัดเจน คือ อุตสาหกรรมใหม่ๆ มีแนวโน้มใช้แรงงานเข้มข้นน้อยลงและมีทักษะสูงขึ้น ซึ่งแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ปัจจุบันไม่สามารถปรับเปลี่ยนทักษะได้ในทันที ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาทักษะฝีมือ อีกทั้งแรงงานบางส่วนประสบปัญหาไม่สามารถปรับตัวได้โดยเฉพาะแรงงานที่มีอายุมาก ช่วงการเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมยานยนต์ย่อมมีผลกระทบทางลบต่อตลาดการจ้างงาน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบต่อแรงงานในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ หลังจากนั้นจึงจะกระทบการผลิตเพื่อขายภายในประเทศ เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีกฎระเบียบด้านการขนส่งที่เข้มงวดในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่า

รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจนต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร และพึงตระหนักว่า เราไม่สามารถทวนกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงได้นานมากนัก จึงต้องส่งสัญญาณให้ทั้งผู้ประกอบการและแรงงานได้ปรับตัวให้ทันต่อพลวัตที่เกิดขึ้น ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD-Hard Disk Drive) เช่นเดียวกัน ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต HDD สำคัญของโลก อัตราการขยายตัวลดลงอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แม้นไทยจะสามารถส่งออก HDD เป็นมูลค่าราว 1.3 หมื่นล้านเหรียญฯ หรือขยายตัวราวร้อยละ 0.9 - 5.0 จากปี 2561 และเติบต่ออย่างต่อเนื่องไปแตะจุดสูงสุดในปี 2563 และหดตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แม้ว่า HDD จะเป็นอุปกรณ์หลักในการจัดเก็บข้อมูลมานานแต่ด้วยจุดอ่อนในเรื่องของการประมวลผลและขนาดที่ใหญ่ซึ่งสวนทางกับกระแสที่พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมานิยมใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็กและเบา เช่น สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ส่งผลให้เทคโนโลยีคู่แข่งอย่าง โซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) นั้นเริ่มจะเป็นที่นิยมมากขึ้นและเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เคยประเมินว่าส่วนแบ่งตลาดสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้ SSD ในการเก็บข้อมูล (Computer SSD) ในตลาดโลกในปี 2562 น่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดและกินส่วนแบ่งถึงร้อยละ 43 ของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จากที่อยู่ราวร้อยละ 31 ในปี 2560 

ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่าการพัฒนานวัตกรรม SSD ได้ทำให้ SSD เข้ามาแทนที่ HDD มากขึ้นในอัตราเร่ง และอาจมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 80 ในไม่ช้า แล้ว อุตสาหกรรม HDD ที่เป็นเทคโนโลยีแบบเดิมที่ไทยเป็นฐานผลิตสำคัญของโลก ผู้ประกอบการและแรงงานในอุตสาหกรรม HDD จะปรับตัวกันอย่างไร บทบาทของรัฐที่เหมาะสมควรจะเป็นเช่นใดเป็นเรื่องที่ต้องมีการวางทิศทางให้ชัดเจน ข้อมูลล่าสุดของภาคอุตสาหกรรมได้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ปรากฎอยู่ในหลายธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่เฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์เท่านั้น  จากข้อมูลเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ธ.ค. 66 หดตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ -6.3 (%YoY) และหดตัวจากเดือนก่อนหน้าหลังปรับผลทางฤดูกาลร้อยละ -1.0% (MoM) อุตสาหกรรมที่หดตัวสูงและมีผลต่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมติดลบ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ (-20.6%) อุตสาหกรรมน้ำตาล (-22.9%) อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (-12.6%) อุตสาหกรรมผลิตคอมพิวเตอร์ (-19.9%) อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ  (-7.7%) ส่วนอุตสาหกรรมที่ยังเป็นบวกจะเป็น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร และ อุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับการบริโภคภายในประเทศ ราคาสินค้าเกษตรและความต้องการในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ไทยสามารถส่งออกข้าวได้ 8.76 ล้านตันเมื่อปีที่แล้ว สูงสุดในรอบ 5 ปี ราคาข้าวส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ราคาและปริมาณส่งออกยาง ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลังและข้าวโพด ก็เพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการในตลาดโลก เป็นผลจากภัยแล้งและสงคราม 

อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม เดือน ธ.ค. 66 อยู่แค่ร้อยละ 55.2 ของกำลังการผลิตรวม ลดลงจากเดือนก่อนที่ระดับ 58.1 อัตราการใช้กำลังการผลิตโดยรวมอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60% การลงทุนใหม่ย่อมชะลอตัวลง  การหดตัวของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอาจดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง และ ต้องเผชิญกับการทุ่มตลาดของสินค้าอุตสาหกรรมจากประเทศจีนที่กำลังเผชิญภาวะเงินฝืดอีกด้วย สถานการณ์ การลงทุนและอุปทานส่วนเกินจำนวนมาก หรือ Overcapacity ในจีนต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับเข้าสู่สมดุล การเร่งกระตุ้นอุปสงค์ภายในของจีนมีความจำเป็น ส่วนไทยนั้นแม้นแนวโน้มการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (Foreign Direct Investment – FDI) ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 40%  ปีที่แล้ว และ ไทยมียุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนของในอุตสาหกรรมนวัตกรรมสูงแต่มีข้อจำกัดอย่างมาก เพราะ ต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูง มีทักษะแรงงานทางด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบทางด้านวิจัยและนวัตกรรมรองรับ ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังคงขาดแคลนอยู่ รวมทั้งระบบการศึกษาไม่ตอบสนอง  และมีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างองค์กรหน่วยงานส่งเสริมการลงทุน อย่าง “บีไอโอ” ก็ควรปรับบทบาทจากผู้ให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุน มาเป็น ผู้บูรณาการ อำนวยความสะดวกและเชื่อมโยงการลงทุนมากขึ้น เพื่อให้เกิดการกระจายผลประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติ “บีโอไอ” ควรทำงานร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวกับการส่งเสริม SMEs ทั้งหลาย ทำให้ SMEs ไทยเชื่อมโยงกับเครือข่ายการผลิตและการบริการข้ามชาติมากยิ่งขึ้น   

ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การปรับและปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเกิดยากหากมีปัญหาข้อจำกัดภาครัฐ ยกตัวอย่าง หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมอย่าง กสทช มีความขัดแย้งในระดับนโยบายและระดับบริหาร ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มศักยภาพ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีความล่าช้าในการแต่งตั้งบอร์ดและผู้ว่า กฟผ และฐานะทางการเงินของ กฟผ ย่ำแย่ลงจากหนี้คงค้างจากรัฐบาลและแบกรับค่าเอฟที หลายรัฐวิสาหกิจไม่สามารถหาผู้บริหารมาทำงานได้ หน่วยงานของรัฐ ระบบยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรม มีปัญหาความขัดแย้ง มีการฟ้องกันไปมา ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ความมีหลายมาตรฐานของระบบศาลรัฐธรรมนูญและศาลยุติธรรมทำให้ขาดความเชื่อมั่นศรัทธาจากประชาชน นักลงทุนและผู้ประกอบการ ทั้งหมดนี้ทำให้การปรับโครงสร้างและปฏิรูปเศรษฐกิจทำได้ยาก การปฏิรูปกิจการภาครัฐและการปรับโครงสร้างระบบองค์กรรัฐเพื่อให้เกิดการทำงานเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน เพิ่มความโปร่งใสและระบบธรรมาภิบาลเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เมื่อไม่สามารถปรับโครงสร้างองค์กรภาครัฐและเศรษฐกิจได้ ไทยก็ต้องเผชิญความถดถอยของความสามารถในการแข่งขันต่อไป ติดกับดักการเติบโตต่ำไปอีกนาน และ มีความยากลำบากมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความไม่เป็นธรรมทั้งหลาย ขณะที่ ความเสี่ยงทางการเมืองเพิ่มขึ้นจากปัญหาการใช้อำนาจของสถาบันทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 หากมีการยุบพรรคก้าวไกล หรือ ตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม ประเทศไทยอาจเข้าสู่วังวนของความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองรอบใหม่ได้ องค์กรรัฐจะถูกตั้งคำถามมากขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติในเรื่องระบบนิติรัฐนิติธรรม นักลงทุนต่างชาติอาจหวั่นไหวต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยไทย    
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net