Skip to main content
sharethis

'เศรษฐา' เข้าเฝ้าฯ มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย ยืนยันความตั้งใจมุ่งสานความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิด - ไทยพร้อมหนุนให้ซาอุฯ เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 รวมทั้งขอให้สนับสนุนในการเป็นเจ้าภาพเอ็กซ์โป - เผยผู้นำเวทีอ่าวอาหรับต่างห่วงสถานการณ์ฮามาส-อิสราเอล เรียกร้องปล่อยตัวประกันโดยเร็ว เป็นห่วงผู้บริสุทธิ์

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2566 ณ โรงแรม Ritz Carlton กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสการหารือทวิภาคี ระหว่างการเข้าร่วมการประชุม ASEAN – GCC Summit โดยนายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
 
นายกรัฐมนตรีและมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ต่างยืนยันความตั้งใจร่วมกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยว รวมถึงพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทยและซาอุดีฯ ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในวิสัยทัศน์ของพระราชาธิบดี รวมถึงมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ ที่ทรงวางรากฐาน นำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยไทยยืนยันมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้าน ต่าง ๆ ให้พัฒนายิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนไทยและซาอุดีฯ
 
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและ มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ หารือประเด็นความร่วมมือดังนี้
 
ด้านความสัมพันธ์ ทั้งสองฝ่ายหารือถึงการดำเนินความสัมพันธ์ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะควรส่งเสริมการค้าและการลงทุนซึ่ง นายกฯ เสนอการจัดทำ Thai-GCC FTA รวมทั้งแสดงการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพ Expo 2030 จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2034 ของซาอุดีอาระเบีย รวมถึงแนวทางความร่วมมือและประเด็นที่คั่งค้างในด้าน 1) การเมืองและการกงสุล 2) การลงทุน 3) ความมั่นคงและการทหาร 4) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และ 5) เศรษฐกิจและการค้า โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดี - ไทย (Saudi – Thai Coordination Council: STCC) ครั้งที่ 1 เพื่อทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์ และกำหนดแนวทางความร่วมมือทั้ง 5 ด้าน
 
ด้านความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง เพื่อเข้าร่วมงานนิทรรศการด้านการป้องกันประเทศของทั้งสองฝ่ายแล้วในงาน Defense and Security ของไทย และงาน World Defense Show ของซาอุดีฯ ซึ่งทำให้ไทยและซาอุดีฯ มีโอกาสขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ซึ่งไทยจะให้ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เร่งรัดความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ดูแลคนไทยกว่า 6,000 คน ที่อยู่ในซาอุดีอาระเบีย และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ซึ่งมีคนไทยเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกลักพาตัว ซึ่งซาอุดีอาระเบียรับที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับกุมตัว

ไทยพร้อมหนุนให้ซาอุฯ เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 รวมทั้งขอให้สนับสนุนในการเป็นเจ้าภาพเอ็กซ์โป

ทั้งนี้นายเศรษฐา ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า จะสนับสนุนซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2034 หรืออีก 12 ปีข้างหน้า ซึ่งเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เคยโทรศัพท์มาหาตนด้วยตัวเองเมื่อ 10 วันที่แล้ว ขอให้ประเทศไทยสนับสนุน โดย ณ เวลานั้น ตนเองได้แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเวลานั้น เรายังไม่ทราบว่าอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพหรือเปล่า แต่เมื่อวันที่ชัดเจนแล้ว ตนเองจึงได้ตอบรับท่านไปว่าเรายินดีที่จะสนับสนุนซาอุดีอาระเบีย 

"ท่านทรงปีติยินดีมาก และพูดติดตลกว่าเราติดคนไทยอยู่หนึ่ง และท่านก็บอกอีกว่าจะมีเอ็กซ์โปอีกครั้งหนึ่งในปี 2030 ซึ่งซาอุดีอาระเบียก็อยากจะเป็นเจ้าภาพอีกเช่นกัน ท่านก็บอกอยากให้ไทยช่วย ซับพอร์ต ท่านบอกขอติดไว้สองหนด้วยกัน ถือได้ว่า เป็นการพูดคุยด้วยบรรยากาศที่มีมิตรภาพที่ดี ท่านเองทรงให้ความกรุณาดูแลทีมไทยแลนด์ที่มาที่ซาอุดีอาระเบียอย่างดี"นายกรัฐมนตรีกล่าว 

เผยผู้นำเวทีอ่าวอาหรับต่างห่วงสถานการณ์ฮามาส-อิสราเอล เรียกร้องปล่อยตัวประกันโดยเร็ว เป็นห่วงผู้บริสุทธิ์

นายเศรษฐา ยังให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล ว่า ในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ผู้นำหลายๆ ชาติได้พูดถึง เหตุการณ์ที่เราทุกคนไม่อยากให้เกิดคือสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างฮามาสกับอิสราเอล มีการเรียกร้องขอให้ปล่อยตัวประกันออกมาโดยเร็วเพราะเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ ต้องการให้ยุติสถานการณ์โดยเร็วด้วยการเจรจาด้วยความสันติ 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันของผู้นำตนได้นั่งข้างกับกษัตริย์โอมาน ที่มีความคุ้นเคยกับประเทศไทยดีมาก ซึ่งประเทศไทย โดย บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ลงทุนสูงที่สุดบริษัทหนึ่งในโอมาน การลงทุนในด้านการท่องเที่ยวก็มีมาก สายการบินที่บินสัปดาห์ละ 3-4 วัน ไปประเทศไทย ตนเองบอกว่าอยากให้นักท่องเที่ยวโอมานไปประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งกษัตรย์โอมานก็ตอบรับ เพราะครอบครัวของท่านก็เป็นคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลในประเทศไทย ชื่นชมการรักษาพยาบาลของประเทศไทย พร้อมหารือกันถึงปัญหาอิสราเอล ซึ่งตนได้แจ้งว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นคู่กรณี แต่สูญเสียมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ หลังจากเสร็จการประชุมครั้งนี้ ท่านจะรีบเสด็จไปไคโรเพื่อเข้าร่วมประชุมใหญ่ และจะมีบรรดาผู้นำบินตามไปสมทบซึ่งจะพูดคุยกันเรื่องความไม่สงบในกาซาและอิสราเอล 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังการรับประทานอาหาร ได้พบกับมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีของซาอุดีอาระเบีย อีกครั้ง และท่านตระหนักดีถึงความสูญเสียของคนไทยทั้ง 30 คนและตัวประกันอีก 17 คน ทั้งนี้ ได้พูดคุยกับสมเด็จพระราชาธิบดีของบรูไน ได้แสดงความเป็นห่วงประเทศไทยและตัวประกัน ซึ่งตัวท่านเองก็พยายามพูดคุยกับบรรดาผู้นำต่างๆ เพราะท่านมีความคุ้นเคยและท่านรักประเทศไทย ทุกท่านแสดงความห่วงใยตัวประกัน และตกใจถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ของเรา ก็มีการพูดคุยกันดี 


ที่มาเรียบเรียงจากเว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล [1] [2] [3]

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net