เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศล่าสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ให้เด็กอายุ 5-11 ปี ตามหลังประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม G7 และประเทศอื่นๆ ในยุโรป ตะวันออกกลาง รวมถึงอาเซียนอย่างไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่อนุมัติไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมารับรองอย่างเป็นทางการแล้วเช่นกันว่าวัคซีนไฟเซอร์ปลอดภัยสำหรับเด็กในช่วงวัยดังกล่าวตามผลการศึกษาในหลายประเทศ ขณะที่ไทยเริ่มต้นฉีดวัคซีนให้เด็ก 31 ม.ค. นี้ เริ่มที่กลุ่มเสี่ยงและกระจายต่อไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเด็กที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็ก 5-11 ปี
- องค์การอาหารและยา (FDA) และกรมควบคุมโรค (CDC) ของสหรัฐฯ รวมถึง WHO อนุมัติและรับรองความปลอดภัยวัคซีนไฟเซอร์เด็กแล้ว
- หลายประเทศในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา รวมถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง และเอเชีย-แปซิฟิก อนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็ก 5-11 ปี และทยอยฉีดให้เด็กตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว
- สหรัฐอเมริกา แคดานา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสมาชิกสหภาพยุโรป ฉีดวัคซีนทั้งหมดเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครอง
- ไทยเริ่มฉีดให้เด็ก 5-11 ปีที่เป็นกลุ่มเสี่ยงวันที่ 31 ม.ค. 65 ที่โรงพยาบาล ฉีดโดยกุมารแพทย์ หลังจากนั้นเน้นกระจายตามโรงเรียนทั่วประเทศ และเด็กต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนฉีด
- ไทยเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียนที่อนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็ก 5-11 ปี ตามหลังสิงคโปร์ และตอนนี้มีฟิลิปปินส์กับมาเลเซียร่วมด้วย
- ผลการทดลองเฟส 3 จากเด็ก 2,268 คนในสหรัฐฯ สเปน ฟินแลนด์ และโปแลนด์ ชี้ไฟเซอร์เด็กป้องกันการติดเชื้อรุนแรงได้ 90.7%
- ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนอาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่รุนแรง และพบในอัตราที่ต่ำมาก สามารถรักษาหายได้
- วัคซีนไฟเซอร์เด็ก 5-11 ปี (ฝาส้ม) มีความเข้มข้นของ mRNA 10 ไมโครกรัม/โดส หนึ่งขวดแบ่งฉีดได้ 10 โดส เปิดแล้วเก็บได้นาน 6-12 ชม.
- วัคซีนไฟเซอร์สำหรับคนอายุ 12 ปีขึ้นไป (ฝาม่วง) มีความเข้มข้นของ mRNA 30 ไมโครกรัม/โดส หนึ่งขวดแบ่งฉีดได้ 6 โดส เปิดแล้วเก็บได้ไม่เกิน 6 ชม.
28 ม.ค. 2564 กระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมาว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ (Pfizer) ได้รับการรับรองจากกระทรวงว่าปลอดภัยสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี และจะเริ่มแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับเด็กในเดือน มี.ค. ที่จะถึงนี้ เพื่อรับมือกับการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่กำลังระบาดหนักทั่วโลก และทางการญี่ปุ่นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเด็กด้วยเช่นกัน
ประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ประชุมผู้เชี่ยวชาญประจำกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นมีมติเห็นพ้องต้องกันว่าจะลดเกณฑ์อายุของผู้เข้ารับวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ จากเดิมที่กำหนดไว้ที่อายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งทำให้วัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนยี่ห้อแรกที่ได้รับอนุญาตจากทางการญี่ปุ่นให้ฉีดแก่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีได้ โดยฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวเน้นย้ำว่าเขาจะเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้เด็กญี่ปุ่นวัย 5-11 ปี ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ซึ่งเด็กในช่วงวัยดังกล่าวมีจำนวนกว่า 7,200,000 คน หรือคิดเป็น 6% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
ขณะที่วัคซีนโควิด-19 ยี่ห้ออื่นๆ ที่ได้รับการบรรจุในแผนการฉีดวัคซีนแห่งชาติของญี่ปุ่นอย่างโมเดอร์นา (Moderna) ได้รับอนุมัติให้ฉีดได้ในคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ส่วนแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) อนุญาตให้ฉีดได้เฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปเท่านั้น โดยทางการญี่ปุ่นจัดให้ฉีดวัคซีนแยกตามชนิดและยี่ห้อ ไม่มีการฉีดสูตรไขว้หรือสูตรผสมแต่อย่างใด
กฎหมายญี่ปุ่นกำหนดให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่ประสงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ต้องได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ปกครองตามกฎหมาย ซึ่งผู้ปกครองบางส่วนต่างรู้สึกกังวลเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนในเด็ก
ผลสำรวจในเดือน ก.ย. 2564 ของศูนย์สุขภาพและพัฒนาการเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่นระบุว่า 70% ของผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาและเด็กเล็กต้องการหรือมีแนวโน้มต้องการให้เด็กในปกครองเข้ารับวัคซีนโควิด-19 ส่วนอีก 20% บอกว่าไม่ต้องการให้เด็กฉีดวัคซีน ขณะที่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน 50-60% ตอบแบบสอบถามดังกล่าวว่าพวกเขาต้องการหรือมีแนวโน้มต้องการฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่อีก 30-40% บอกว่าพวกเขาไม่ต้องการฉีดวัคซีน
เทตสึโอะ นาคายามะ ศาสตราจารย์ประจำสถาบันวิทยาศาสตร์ชีวภาพแห่งมหาวิทยาลัยคิตะซะโตะ แนะนำว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่เพียงแค่ช่วยป้องกันการเกิดอาการรุนแรงในเด็กที่มีโรคประจำตัวหรือมีความเสี่ยง แต่ยังช่วยป้องกันลักษณะเดียวกันในเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงได้อีกด้วย เพราะหากคนที่ติดเชื้อโควิด-19 นั้นยังไม่ได้รับวัคซีนก็อาจเกิดอาการรุนแรงกว่าทั้งทางกายและจิตใจ อย่างไรก็ตาม เด็กและผู้ปกครองต้องทำความเข้าใจอย่างเต็มที่เรื่องข้อดีและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน
ด้านสมาคมกุมารแพทย์แห่งญี่ปุ่นได้ออกมากล่าวเช่นกันว่าการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 5-11 ปีที่มีสุขภาพแข็งแรงนั้นมีความหมายเทียบเท่ากับการฉีดวัคซีนให้เด็กแข็งแรงที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ใหญ่ที่ไม่มีโรคประจำตัวคนอื่นๆ และนอกจากเด็กแล้ว ผู้ใหญ่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กก็จำเป็นต้องได้รับวัคซีนเช่นเดียวกัน
4 ประเทศอาเซียนไฟเขียวฉีดไฟเซอร์ให้เด็ก 5-11 ปี
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2564 นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า อย. อนุมัติการขยายขอบเขตข้อบ่งใช้ของวัคซีนโคเมอร์เนตี (COMIRNATY VACCINE) ของบริษัท ไฟเซอร์จำกัด สำหรับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกระตุ้นภูมิในผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และมาขออนุญาตขยายอายุสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี โดยมีขนาดการใช้วัคซีนลดลงเหลือ 10 ไมโครกรัม หรือ 1 ใน 3 ของผู้มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ด้วยการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 21 วัน ทั้งนี้ วัคซีนโคเมอร์เนตี เป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่ อย. อนุมัติให้ใช้ในกลุ่มเด็กอายุดังกล่าว
นอกจากไทยแล้ว อีก 3 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ก็อนุญาตให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์แก่เด็กอายุ 5-11 ปีแล้วเช่นกัน กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ประกาศอนุมัติเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2564 ถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่อนุญาตให้เด็กอายุ 5-11 ปีสามารถรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ โดยเริ่มต้นฉีดให้เด็กสัญชาติสิงคโปร์แล้วตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา หลังรัฐบาลสิงคโปร์ได้รับวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์สำหรับเด็กเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2564 ส่วนฟิลิปปินส์อนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2564 และคาดว่าจะเริ่มฉีดได้ช่วงต้นเดือน ก.พ. นี้ จากเดิมที่กำหนดไว้ช่วงกลางเดือน ม.ค. โดยเมื่อช่วงต้นปีนี้ ผู้ช่วยเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขของฟิลิปปินส์ให้สัมภาษณ์กับ CNN Philippines ถึงสาเหตุที่จำเป็นต้องเลื่อนแผนการฉีดวัคซีนในเด็กออกไปก่อนเพราะบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากติดโควิด-19 แต่คาดว่าสถานการณ์การระบาดในช่วงต้นเดือน ก.พ. จะดีขึ้น และวัคซีนไฟเซอร์ที่จะนำมาฉีดให้เด็กนี้ ส่วนหนึ่งคือวัคซีนที่ได้รับการบริจาคจากโครงการ COVAX ขององค์การสหประชาชาติ (UN)
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซีย ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมาว่าองค์การอาหารและยาแห่งมาเลเซีย (DCA) อนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีแล้ว และจะเริ่มฉีดให้เด็กในช่วงสิ้นเดือน ม.ค. นี้ ข้อมูลจาก CovidNow ฐานข้อมูลสถิติการติดเชื้อโควิด-19 ในมาเลเซียระบุว่าในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังปีใหม่ เด็กอายุ 5-11 ปีติดเชื้อโควิด-19 คิดเป็น 10% ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่เด็กในช่วงอายุอื่นๆ มีอัตราการติดเชื้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-6%
นอกจาก 4 ประเทศที่อนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 5-11 ปีแล้ว ยังมีอีก 2 ประเทศ คือ กัมพูชา และอินโดนีเซีย ที่อนุมัติการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีโดยใช้วัคซีนยี่ห้ออื่น สำหรับอินโดนีเซีย ทางการอนุญาตให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อซิโนแวคแก่เด็กอายุ 6-11 ปี ตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค. 2564 เป็นต้นไป ส่วนกัมพูชานั้นประกาศตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย. ปีที่แล้วว่าจะฉีดวัคซีนยี่ห้อซิโนแวคให้เด็กอายุ 6-12 ปีทั่วประเทศ
ไทยเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็ก 31 ม.ค. นี้ นำร่องเด็ก 7 กลุ่มเสี่ยงใน กทม.
วานนี้ (26 ม.ค. 2565) สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แถลงข่าวการจัดบริการวัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ปี ที่กระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.โอภาส กล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ล็อตแรก 3 แสนโดส มาถึงไทยเมื่อเช้าวันที่ 26 ม.ค. 2565 และได้ส่งวัคซีนและเอกสารให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบคุณภาพ จากนั้นจะส่งไปยังจุดฉีดวัคซีนทั่วประเทศ
สำหรับวัคซีนที่เหลือจะทยอยส่งทุกสัปดาห์จนครบ 3.5 ล้านโดส ภายในไตรมาสแรก โดยวัคซีนไฟเซอร์สูตรเด็กอายุ 5-11 ปี จะฉีดคนละ 0.2 มิลลิลิตร (10 ไมโครกรัม) 1 ขวดฉีดได้ 10 คน มีข้อดีคือเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส อยู่ได้นานขึ้นเป็น 10 สัปดาห์ แต่หลังเปิดใช้แล้วต้องฉีดให้หมดภายใน 2-6 ชั่วโมง
การฉีดเด็กทั่วไปที่โรงเรียนจะใช้ระบบเดียวกับการฉีดในเด็กมัธยมศึกษา กำหนดฉีด 2 เข็มห่างกัน 8 สัปดาห์ ส่วนเด็กที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่ 1.โรคอ้วน 2.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง 3.หัวใจและหลอดเลือด 4.ไตวายเรื้อรัง 5.มะเร็งและภูมิคุ้มกันต่ำ 6.เบาหวาน 7.โรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการช้า จะฉีดที่โรงพยาบาล ระยะห่างสามารถนานได้ถึง 12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกุมารแพทย์ที่เป็นผู้รักษา ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนให้กับเด็กยังเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ปกครอง และไม่มีการบังคับแต่อย่างใด
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า เด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 พบว่า 98% มักไม่มีอาการหรืออาการน้อย แต่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีน โดยเฉพาะเด็กมีโรคประจำตัว เพื่อป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิต และลดกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบ (MIS-C) ส่วนผลข้างเคียงหลังการฉีดในเด็กอายุ 5-11 ปี จากข้อมูลของสหรัฐอเมริกาที่ฉีดแล้ว 9 ล้านคน อาจพบอาการปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด อาการไข้น้อยกว่าเด็กโต แต่อาการทั้งหมดหายได้ใน 2 วัน อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบพบ 11 คน แต่ไม่รุนแรงและรักษาหายทั้งหมด ทั้งนี้ ในอังกฤษและออสเตรเลียให้ฉีดห่างกัน 8 สัปดาห์ เนื่องจากภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ผลข้างเคียงน้อยลง อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบยิ่งน้อยลงจนแทบไม่มีเลย การฉีดในโรงเรียนจึงแนะนำห่างกัน 8 สัปดาห์ ส่วนเด็กที่มีโรคประจำตัวและกลัวว่าจะติดเชื้อก่อน แนะนำประมาณ 4 สัปดาห์ แต่ไม่ควรเร็วกว่านั้น
ด้าน นพ.อดิศัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีเด็กอายุ 5-11 ปี ประมาณ 5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคประมาณ 9 แสนคน ซึ่งการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็กที่มีโรคประจำตัวเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครอง โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและ กทม. จะบริหารวัคซีนตามจำนวนเด็กอายุ 5-11 ปีที่มีโรคประจำตัวและผู้ปกครองยินยอม จำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรร และความพร้อมของบุคลากร รวมถึงกุมารแพทย์ที่ให้การดูแลแต่ละจังหวัด
สำหรับขั้นตอนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็ก ประกอบด้วย
- การคัดกรอง โดยกุมารแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน หากกำลังมีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย หรือโรคประจำตัวอาการรุนแรงขึ้น อาการไม่คงที่ จะให้ชะลอการฉีดออกไปก่อน
- การลงทะเบียน โดยมีการเซ็นใบยินยอมของผู้ปกครอง
- การฉีดวัคซีน ควรจัดสถานที่มิดชิด มีม่านหรือฉากกั้น หรือฉีดในห้อง เพื่อลดผลกระทบด้านจิตใจ เนื่องจากเด็กเล็กเมื่อเห็นเด็กถูกฉีดแล้วร้อง อาจเกิดอุปาทานหมู่ ยอมรับการฉีดยากขึ้น
- หลังฉีดรอดูอาการ 30 นาที เมื่อกลับบ้านแล้วไม่ควรออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ใช้แรง 1 สัปดาห์
ทั้งนี้ หลังฉีดวัคซีนแล้วเด็กมีอาการผิดปกติที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อประเมินอาการ คือ 1.กลุ่มโรคหัวใจในช่วง 2-7 วัน ได้แก่ เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย ใจสั่น และ 2.กลุ่มอาการอื่น คือ ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน กินไม่ได้ ซึมหรือไม่รู้สึกตัว ซึ่งทั่วประเทศมีกุมารแพทย์กว่า 2 พันคน สามารถประเมินอาการ ให้การรักษาและส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป รวมถึงสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย
สำหรับการฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปีที่มีโรคประจำตัว จะเริ่มต้นในวันที่ 31 ม.ค. นี้ ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เป็นการฉีดเพื่อทดสอบระบบ โดยก่อนมาฉีดจะมีการโทรศัพท์ให้ข้อมูลผู้ปกครองและสอบถามความสมัครใจ หลังฉีดจะมี QR Code ให้ประเมินผลข้างเคียงและให้ความรู้การดูแลหลังฉีด หากมีผลข้างเคียงสามารถเข้าโรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือติดต่อมายังสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีผ่านทางไลน์และสายด่วน 1415 ซึ่งมีการจัดระบบทางด่วนในรายที่สงสัยรุนแรงเพื่อเข้ารับการดูแลต่อไป
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ประชาชาติธุรกิจ รายงานแผนการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็ก (ฝาสีส้ม) ในประเทศไทยตามแผนงานของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ในช่วงเดือน ก.พ. 2565 โดยวัคซีนล็อตแรกจะจัดสรรให้สถานพยาบาลสำหรับกลุ่มอายุ 5-11 ปีที่โรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ที่ไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนผ่านระบบสถานศึกษา โดยให้กุมารแพทย์เป็นผู้พิจารณาฉีด ซึ่งตรงกับที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงข่าวไปเมื่อวานนี้ (26 ม.ค. 2565) หลังจากนั้น วัคซีนล็อตถัดไปจะดำเนินการผ่านระบบสถานศึกษา จัดสรรให้เด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในทุกจังหวัดเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจัดสรรให้นักเรียนชั้นปีอื่นถัดไปตามลำดับ ทั้งนี้ การจัดสรรวัคซีนเป็นไปตามสัดส่วนของนักเรียนในแต่ละจังหวัด และมีการสำรองวัคซีนในส่วนกลางไว้ใช้กรณีฉุกเฉินหรือมีการระบาดในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรวัคซีนสำหรับการฉีดในสถานพยาบาลให้ใช้สำหรับเด็กป่วย หรือเด็กที่เรียนผ่านระบบ Homeschool เท่านั้น
ประเทศไหนอนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กแล้วอายุต่ำกว่า 12 ปีแล้วบ้าง
นอกจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ 4 ประเทศอาเซียนที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ข้อมูลจากสำนักข่าวรอยเตอร์สระบุว่าแล้วประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ประกาศอนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. 2564 ยกเว้นบางประเทศ เช่น อิตาลีและฝรั่งเศส ที่ประกาศอนุญาตไปก่อนหน้านั้น โดยการฉีดวัคซีนทั้งหมดเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครอง ขณะที่ประเทศในยุโรปซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิก EU อย่างสหราชอาณาจักรอนุมัติการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 5-11 ปีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2564 นอกจากนี้ยังมีสวิตเซอร์แลนด์ที่อนุมัติอย่างเป็นทางเมื่อเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา และจะเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 5-11 ปีในเดือน ม.ค. นี้
นอกจากนี้ บางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลางอย่างอิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ก็อนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีแล้วเช่นกัน ทวีปอเมริกาก็มีอีกหลายประเทศที่อนุมัติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กกลุ่มนี้ ได้แก่ แคนาดา เม็กซิโก คอสตาริกา และบราซิล รวมถึงประเทศที่อยู่อีกซีกโลกอย่างออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ก็อนุมัติแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีอีกหลายประเทศที่อนุมัติการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีและใช้วัคซีนยี่ห้ออื่นแทนยี่ห้อไฟเซอร์ เช่น จีนและฮ่องกงใช้ซิโนแวค 1 เข็มสำหรับเด็กอายุ 3-11 ปี อาร์เจนตินาให้เด็กอายุ 3-11 ปีสามารถรับวัคซีนซิโนฟาร์มได้ ส่วนคิวบาและเวเนซุเอลาใช้วัคซีนโซเบรานา 02 (Soberana 02) ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดซับยูนิตที่วิจัยและผลิตโดยประเทศคิวบา โดยฉีดให้เด็กอายุ 2-10 ปี เป็นต้น
เด็กเล็กติดโควิด-19 ก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้
สำนักข่าว The New York Times รายงานว่าในช่วงเดือน ส.ค. ปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 สายพันธุ์เดลตาระบาดหนักในสหรัฐฯ มีเด็กที่ติดเชื้อและป่วยถึงขั้นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเกือบ 30,000 คน ด้าน The Washington Post รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน (American Academy of Pediatrics) ระบุว่านับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีจำนวนเกือบ 8.9 ล้านคนติดเชื้อโควิด-19 และมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 เสียชีวิตจำนวนกว่า 700 คน โดย 125 คนจากจำนวนนี้ที่เสียชีวิต เป็นเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี
ผลวิจัยจาก 4 ประเทศชี้วัคซีนไฟเซอร์เด็กป้องกันอาการป่วยรุนแรงได้ 90.7%
เมื่อช่วงกลางเดือน ก.ย. 2564 บริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค (Pfizer-BioNTech) ผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ ซึ่งมีชื่อทางการค้าอย่างเป็นทางการว่าโคเมอร์เนตี (Comirnaty) เปิดเผยผลการศึกษาการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA ของบริษัท ระยะที่ 2 ให้แก่กลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี โดยระบุว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีหลังฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ในปริมาณ 10 ไมโครกรัม ห่างกัน 21 วัน ปริมาณวัคซีนที่ทดลองฉีดให้เด็กอายุ 5-11 ปีนั้นน้อยกว่าปริมาณวัคซีนที่ฉีดให้เด็กอายุ 12-15 ปี และกลุ่มคนอายุ 16-25 ปี ซึ่งอยู่ที่ 30 ไมโครกรัม
ผลวิจัยการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปีของไฟเซอร์ทั้ง 3 เฟส ดำเนินการศึกษาโดยคณะนักวิจัยซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์และอาจารย์แพทย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา นำโดยเอ็มมานูเอล บี. วอลเตอร์ กุมารแพทย์และศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยดุค (Duke University) ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา งานวิจัยชิ้นนี้ผ่านการตรวจสอบจากคณะผู้เชี่ยวชาญ (Peer Review) และได้รับการเผยแพร่ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (The New England Journal of Medicine) เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2564 โดยวารสารวิชาการฉบับนี้ได้รับการยอมรับและมีอันดับความน่าเชื่อถือติด 10 อันดับแรกของโลก
ผลวิจัยการฉีดวัคซีนเฟส 1 ในเด็กอายุ 5-11 ปี เริ่มต้นที่เด็กในสหรัฐฯ จำนวน 50 คน จากทุกเชื้อชาติ เป็นเพศกำเนิดชายมากกว่าหญิง ในจำนวนนี้มีเด็ก 48 คนที่ได้รับวัคซีนจริง โดยถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 16 คน ได้รับวัคซีนในปริมาณที่แตกต่างกันต่อโดส คือ 10 ไมโครกรัม 20 ไมโครกรัม และ 30 ไมโครกรัม หลังฉีดวัคซีนครบโดสและประเมินประสิทธิภาพและระดับภูมิคุ้มกันแล้ว คณะนักวิจัยเลือกให้วัคซีนปริมาณ 10 ไมโครกรัม/โดสเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดในการทดลองเฟสที่ 2-3
ในเฟสที่ 2-3 กลุ่มทดลองเป็นเด็กอายุ 5-11 ปี มีอาสาสมัครเด็กทั้งสิ้น 2,316 คนจากประเทศสหรัฐฯ สเปน ฟินแลนด์ และโปแลนด์ แต่เมื่อคณะนักวิจัยประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพแล้วจึงตัดเด็กที่มีความเสี่ยงสูงออกก่อนเริ่มการทดลองในระยะที่ 2-3 ทำให้เหลือจำนวนเด็กผู้เข้ารับวัคซีนทั้งสิ้น 2,268 คน โดย 1,517 คนจากจำนวนนี้ได้รับวัคซีนจริง ส่วนอีก 751 คนได้รับวัคซีนหลอก ผลการทดลองในเฟสที่ 2-3 ระบุว่าวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีที่ฉีดในปริมาณ 10 ไมโครกรัม/โดส สามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันได้สูงถึง 95% และมีประสิทธิภาพป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงได้ 90.7% ทั้งนี้ เด็กทุกคนที่เข้าร่วมการศึกษาวิจัยจะต้องมาประเมินสุขภาพหลังฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว 1-2 เดือน
ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลการวิจัยในเฟส 3 ในช่วงต้นเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว บริษัทไฟเซอร์ได้ยื่นขออนุญาตใช้วัคซีนฉุกเฉินในเด็กอายุ 5-11 ปีต่อองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) โดย FDA อนุมัติคำขอดังกล่าวในวันที่ 29 ต.ค. 2564 หลังจากนั้น ในวันที่ 3 พ.ย. 2564 กรมควบคุมโรคของสหรัฐฯ (CDC) จึงประกาศเริ่มต้นการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ให้กับเด็กอายุ 5-11 ปีทั่วสหรัฐฯ ซึ่งมีจำนวนกว่า 28 ล้านคน อย่างไรก็ตาม สำนักข่าว U.S. News รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองในสหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย. 2564 โดยระบุว่าผู้ปกครองประมาณ 30% บอกว่าพวกเขาจะไม่ให้ลูกของตนรับวัคซีนอย่างแน่นอน
แม้ว่าสหรัฐฯ จะเริ่มต้นฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 5-11 ปีมาตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว แต่ข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนให้เด็กในช่วงวัยดังกล่าวจากมูลนิธิเพื่อครอบครัวของโรงพยาบาลไคเซอร์ (Kaiser Family Foundation) เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2565 พบว่าขณะนี้มีเด็กอายุ 5-11 ปีในสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์อย่างน้อย 1 โดสจำนวน 8,082,264 คน คิดเป็น 28.1% จากจำนวนเด็กทั้งหมด 28 ล้านคน ส่วนเด็กที่รับวัคซีนครบ 2 โดสมี 5,399,946 คน คิดเป็น 18.8% โดยทั้งหมดนี้ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีน
วัคซีนไฟเซอร์มีผลข้างเคียงจริง แต่พบน้อยมากและรักษาทัน
ข้อมูลจากระบบรายงานผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน (VEARS) ของกรมควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.-19 ธ.ค. 2564 มีรายงานผลข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ปีจำนวน 4,249 ครั้งจากจำนวนเด็กที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 6 ล้านคน โดย 97.6% ของการรายงานทั้งหมดเป็นผลข้างเคียงที่ “ไม่รุนแรง” และเกิดขึ้นได้เป็นปกติ เช่น ปวดแขนบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อตามร่างกายหรือปวดหัวชั่วคราว
แอนน์ ฮอส หนึ่งในทีมดูแลระบบรับรายงานของ CDC กล่าวว่าผลข้างเคียงที่รุนแรงหลังฉีดวัคซีนพบน้อยมาก จากจำนวนการฉีดวัคซีนกว่า 8.7 ล้านครั้งให้เด็กกว่า 6 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว พบรายงานเด็กที่มีอาการข้างเคียงเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) เพียง 15 ครั้ง ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงรุนแรงที่บริษัทผู้ผลิต FDA และ CDC ได้แจ้งเตือนไว้ และพบได้มากกว่าในบุคคลเพศกำเนิดชาย แต่อาการนี้ถือว่าพบน้อยมาก และไม่มีรายงานว่าเด็กที่มีอาการเหล่านั้นเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน
อย่างไรก็ตาม ฮอสยอมรับว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีเด็กหญิง 2 คนวัย 5 และ 6 ขวบที่เสียชีวิตหลังรับวัคซีนไฟเซอร์ แต่ฮอสและทีม VEARS บอกว่าเมื่อวิเคราะห์ประวัติการรักษาทางการแพทย์ของเด็กทั้ง 2 คนแล้วพบว่า “สุขภาพของเด็กมีความซับซ้อนและเปราะบางก่อนเข้ารับวัคซีน” อีกทั้งไม่มีข้อมูลที่เชื่อมโยงได้ว่าสาเหตุการตายของเด็กนั้นเกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน ส่วนอาการข้างเคียงรุนแรงหลังฉีดวัคซีนในกลุ่มอายุอื่นๆ ก็มีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่รับวัคซีนทั้งหมด
ด้าน นพ.เฮนรี เบิร์นสตีน กุมารแพทย์ประจำศูนย์การแพทย์เด็กโคเฮนในนครนิวยอร์กบอกว่าเขาสนับสนุนให้พ่อแม่พาเด็กไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่ในขณะเดียวกัน พ่อแม่เด็กก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าอาการข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น มีไข้ เมื่อยล้า ปวดเมื่อยตามตัว หรือปวดหัว เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ และไม่ใช่อาการรุนแรง
“อาการข้างเคียงรุนแรงอย่างกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเกิดขึ้นได้ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก และอาการที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยรุนแรง หากเด็กเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ [เมื่อได้รับการรักษา]อาการจะดีขึ้นเองในไม่ช้า” เบิร์นสตีนกล่าว
องค์การอนามัยโลกรับรองวัคซีนไฟเซอร์ปลอดภัยสำหรับเด็ก
นอกจาก FDA และ CDC ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของรัฐบาลสหรัฐฯ จะรับรองและยืนยันผลความปลอดภัยการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 5-11 ปีแล้ว เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมารับร้องว่าวัคซีนไฟเซอร์ปลอดภัยและสามารถฉีดให้คนอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปได้
ข้อมูลล่าสุดในเว็บไซต์องค์การอนามัยโลกระบุว่า “ผลการทดลองวัคซีนเฟส 3 ในเด็กอายุ 12-15 ปีแสดงให้เห็นว่าวัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยดีสำหรับคนในกลุ่มอายุนี้ นำมาสู่การขยายอายุผู้ที่สามารถฉีดวัคซีนดังกล่าวจาก 16 ปีขึ้นไปมาเป็น 12 ปีขึ้นไป และการทดลองวัคซีนเฟส 3 ในเด็กช่วงอายุระหว่าง 5-11 ปีก็แสดงผลลัพธ์ด้านภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยที่ใกล้เคียงกัน[กับผลการทดลองในช่วงอายุก่อนหน้า]”
“องค์การอนามัยโลกแนะนำให้แต่ละประเทศควรพิจารณาการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุ 5-17 ปี เฉพาะเมื่อการฉีดวัคซีนของประเทศนั้นๆ มีอัตราการรับวัคซีนครบโดสสูงพอและครอบคลุมประชากรส่วนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเป็นอันดับแรกๆ ตามแผนโร้ดแมปขององค์การอนามัยโลก”
“เด็กและวัยรุ่นอายุ 5-17 ปีที่มีโรคประจำตัวซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการรุนแรง สมควรเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันก่อนเป็นอันดับแรก เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง”
ทั้งนี้ องค์การ์อนามัยโลกยังไม่มีข้อแนะนำสำหรับวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี
วัคซีนไฟเซอร์เด็กต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร
ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมควบคุมโรค (CDC) และองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ซึ่งอ้างอิงจากเอกสารกำกับยาของบริษัทไฟเซอร์ ระบุว่าวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี (ฝาสีส้ม) 1 ขวด มีความเข้มข้นของ mRNA 10 ไมโครกรัม สามารถแบ่งฉีดได้ 10 โดส (10 เข็ม) ก่อนนำมาฉีดให้เด็กจะต้องทำละลายวัคซีนด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อที่มีความเข้มข้น 0.9% ปริมาตร 1.3 มิลลิลิตร เมื่อทำละลายวัคซีนแล้วให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อด้วยปริมาตร 0.2 มิลลิลิตร จึงจะถือว่าได้วัคซีนครบ 1 โดส
หลังได้รับวัคซีนเข็มแรก ต้องเว้นระยะ 21 วันจึงจะสามารถรับวัคซีนเข็มที่ 2 ได้ โดย CDC และ FDA แนะนำว่าหากได้รับวัคซีนเข็มแรกเป็นไฟเซอร์ จะต้องรับวัคซีนเข็มที่ 2 เป็นไฟเซอร์เช่นเดียวกัน วัคซีนไฟเซอร์ฝาส้มสำหรับเด็ก เมื่อละลายจากการแช่แข็งแล้ว สามารถเก็บได้นาน 10 สัปดาห์ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส แต่เมื่อเปิดใช้งานแล้วไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 12 ชม. และต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิระหว่าง 8-25 องศาเซลเซียส
ส่วนวัคซีนไฟเซอร์สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปมี 2 สูตร คือ สูตรฝาสีม่วงและสูตรฝาสีเทา โดยฝาสีม่วงเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่มีการปรับปรุงส่วนผสม ส่วนสูตรฝาสีเทาเป็นวัคซีนรุ่นแรกที่มีการผลิต ทั้ง 2 สูตรสามารถแบ่งฉีดได้ 6 โดส (6 เข็ม) ใน 1 ขวด โดยจะได้รับวัคซีนในปริมาณ 30 ไมโครกรัม ซึ่งมากกว่าวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี
ข้อแตกต่างระหว่างวัคซีน 2 สูตรนี้ คือ ไฟเซอร์ คือ การเตรียมวัคซีนก่อนฉีดและการเก็บรักษา โดยวัคซีนฝาสีม่วงต้องผสมน้ำเกลือปราศจากเชื้อ ความเข้มข้น 0.9% ปริมาตร 1.8 มิลลิลิตรก่อนนำมาฉีด หลังเปิดใช้งานแล้วสามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิ 2-25 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน 6 ชม. หากนำออกจากช่องแช่แข็งแต่ยังไม่เปิดใช้งาน สามารถเก็บได้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน 31 วัน ส่วนวัคซีนสูตรฝาสีเทาสามารถนำมาฉีดได้โดยไม่ต้องทำละลายก่อนใช้ หลังเปิดใช้งานสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิ 2-25 องศาเซลเซียส นาน 12 ชม. แต่หากนำออกจากช่องแช่แข็งและยังไม่เปิดใช้งาน สามารถเก็บได้ที่อุณหภูมิ 8-25 องศาเซลเซียส นาน 10 สัปดาห์
ทั้งนี้ วัคซีนไฟเซอร์สำหรับบุคคลอายุ 12 ปีขึ้นไปมีช่วงเว้นระหว่างเข็มที่ 1 และ 2 อยู่ที่ 21 วันเช่นเดียวกับวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี
แปลและเรียบเรียงจาก:
- Covid-19: Pfizer vaccine for children aged five to 11 given conditional approval
- Indonesia Begins Administering COVID-19 Vaccines to Children
- Japan approves Pfizer shot for children age 5 to 11 as omicron spreads
- Malaysia to start vaccinating children aged 5 to 11 from end of January: Khairy
- Philippines’ FDA approves Pfizer jabs for 5 to 11 year-olds
- PH eyes vaccination of kids aged 5-11 in early February
- Pfizer COVID-19 Vaccinations for Kids 5-11 Can Begin Across U.S.
- Pfizer Asks F.D.A. to Authorize Its Covid-19 Vaccine for Children 5 to 11
- Real-World Data Confirms Pfizer Vaccine Safe for Kids Ages 5-11
- Vaccination of children aged 5 to 11 to start this month with expected arrival of Pfizer-BioNTech COVID-19 vaccine doses: MOH
- What to know about the coronavirus vaccine for children younger than 5
- WHO Recommends Reduced Dose Pfizer COVID Vaccine for Under 12s
- วัคซีน
- วัคซีนโควิด
- โควิด-19
- ไฟเซอร์
- วัคซีนไฟเซอร์เด็ก
- วัคซีนโควิด-19
- COVID-19
- Pfizer
- ฉีดวัคซีน
- การฉีดวัคซีน
- องค์การอนามัยโลก
- WHO
- CDC
- FDA
- สหรัฐอเมริกา
- สหภาพยุโรป
- ญี่ปุ่น
- ฟูมิโอะ คิชิดะ
- วัคซีนไฟเซอร์เด็ก 5-11 ปี
- สิงคโปร์
- มาเลเซีย
- ฟิลิปปินส์
- อิสราเอล
- ซาอุดีอาระเบีย
- ซาอุดิอาระเบีย
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- ออสเตรเลีย
- นิวซีแลนด์
- แคนาดา
- คิวบา
- โซเบเรนา 02
- วัคซีนโซเบเรนา 02
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)