Skip to main content
sharethis

'สหประชาชาติ' เผยได้รับแจ้งว่า อิสราเอลบอกกับประชาชน 1.1 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณตอนเหนือของฉนวนกาซาให้ย้ายไปอยู่ในเขตตอนใต้ ภายใน 24 ชั่วโมง โดยสหประชาชาติเรียกร้องยกเลิกคำสั่งดังกล่าว เพื่อมนุษยธรรม - อิสราเอลประกาศเมื่อ 12 ต.ค. ว่าจะไม่มีข้อยกเว้นด้านมนุษยธรรมใด ๆ ต่อการปิดล้อมฉนวนกาซ่า จนกว่าตัวประกันทั้งหมดจะได้รับอิสรภาพ หลังจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เรียกร้องให้อิสราเอลเปิดทางขนส่งเชื้อเพลิงเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลในกาซ่า

13 ต.ค. 2566 สำนักข่าวไทย รายงานอ้างสื่อต่างประเทศระบุว่าโฆษกของเลขาธิการสหประชาชาติกล่าวว่า เจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่ทำงานในฉนวนกาซาได้รับแจ้งจากกองทัพอิสราเอลว่า ประชากรทั้งหมดของกาซา ซึ่งอยู่ทางเหนือของวาดิ กาซา ควรจะอพยพย้ายไปอยู่ทางภาคใต้ของกาซาภายใน 24 ชั่วใมง ซึ่งคำสั่งนี้เกี่ยวข้องกับประชาชนประมาณ 1.1 ล้านคน คำสั่งดังกล่าวยังครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่สหประชาชาติทั้งหมดและผู้ที่อาศัยหลบภัยอยู่ในสถานที่ของสหประฃาชาติ ซึ่งรวมถึงโรงเรียน ศูนย์สุขภาพและคลินิก

หน่วยงานสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ ได้ให้สถานที่พักอาศัยของประชาชนมากกว่าร้อยละ 60 ของผู้ที่ต้องพลัดถิ่นฐานราว 423,000 รายในฉนวนกาซาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และยังไม่มีความชัดเจนว่า มีประชาชนจำนวนเท่าใดที่อยู่อาศัยทางตอนเหนือของวาดิ กาซา สหประชาชาติระบุว่า เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ในการอพยพดังกล่าวโดยไม่มีปัญหารุนแรงในเรื่องมนุษยธรรมตามมา สหประชาชาติขอวิงวอนให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว หากมีจริง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้สถานการณ์ที่อยู่ในสภาพเลวร้ายอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

อิสราเอลเดินหน้าปิดล้อมกาซ่า ตัดน้ำ-ไฟ-เชื้อเพลิง กดดันฮามาสปล่อยตัวประกัน

VOA รายงานเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2566 ว่าอิสราเอลประกาศว่าจะไม่มีข้อยกเว้นด้านมนุษยธรรมใด ๆ ต่อการปิดล้อมฉนวนกาซ่า จนกว่าตัวประกันทั้งหมดจะได้รับอิสรภาพ หลังจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross - ICRC) เรียกร้องให้อิสราเอลเปิดทางขนส่งเชื้อเพลิงเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลในกาซ่า ตามรายงานของรอยเตอร์

อิสราเอลประกาศว่าจะกวาดล้างกลุ่มฮามาสที่ปกครองฉนวนกาซา หลังเหตุโจมตีนองเลือดต่อพลเรือนครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อิสราเอลเมื่อวันเสาร์โดยกลุ่มฮามาส

ทั้งนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากฝั่งอิสราเอลเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,300 คน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกยิงขณะอยู่ภายในบ้าน กลางถนน หรือในงานปาร์ตี้ อีกทั้งยังมีชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติถูกจับเป็นตัวประกันจำนวนมากในกาซ่า ซึ่งอิสราเอลสามารถระบุตัวได้ 97 ราย ตามรายงานของสื่อกระจายเสียงอิสราเอล Kan

อิสราเอลตอบโต้กลุ่มฮามาสด้วยการปิดล้อมกาซ่า บ้านของประชาชน 2.3 ล้านคน และระดมทิ้งระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง 75 ปีระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ทางการในกาซ่าระบุว่ามีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 1,400 คน และบาดเจ็บกว่า 6,000 คนแล้ว

ฟาบริซิโอ คาร์โบนี ผู้อำนวยคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่าเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟในโรงพยาบาลที่กาซ่ากำลังจะหมดภายในไม่กี่ชั่วโมง “เมื่อไม่มีกระแสไฟฟ้า โรงพยาบาลก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นโรงเก็บศพ”

อิสราเอล กัตซ์ (Israel Katz) รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานอิสราเอล กล่าวว่าจะไม่มีข้อยกเว้นในการปิดล้อมกาซ่าหากตัวประกันอิสราเอลไม่ได้รับอิสรภาพ โดยได้โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ X ว่า “ความช่วยเหลือมนุษยธรรมในกาซ่านั้นหรือ? จะไม่มีการเปิดสวิตช์ไฟ จะไม่มีการเปิดก๊อกน้ำให้ จะไม่มีรถขนเชื้อเพลิงจะเข้าไปในนั้น จนกว่าตัวประกันอิสราเอลจะได้กลับบ้าน มนุษยธรรมแลกมนุษยธรรม และไม่มีใครควรมาสั่งสอนเราเรื่องศีลธรรม”

ฝั่งอียิปต์ที่มีทางข้ามพรมแดนเส้นเดียวไปยังกาซ่า ระบุว่าได้พยายามที่จะส่งความช่วยเหลือเข้าไปในกาซ่าแล้ว

ด้านกองพลสำรองชาวอิสราเอล แห่เดินทางกลับบ้านเพื่อเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ ด้านโฆษกกองทัพอิสราเอล พันโทริชาร์ด เฮชท์ กล่าวว่า ก้าวต่อไปของอิสราเอลอาจเป็นการโจมตีภาคพื้นดินในกาซ่า แต่ยังไม่มีการตัดสินใจเรื่องการบุกเข้าไปในขณะนี้ “แต่เราได้เตรียมการเอาไว้แล้ว”

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องสงครามขยายวงกว้างเริ่มมีสัญญาณมากขึ้น เมื่อซีเรียระบุว่าอิสราเอลโจมตีทางอากาศเข้าถล่มสนามบินในกรุงดามัสกัสและอเลปโป ทำให้ไม่สามารถเปิดทำการได้ทั้งสองแห่ง กองทัพอิสราเอลระบุว่าไม่พบรายงานเหตุโจมตีดังกล่าว

ทั้งนี้ ซีเรียเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอิหร่าน ซึ่งสนับสนุนกลุ่มฮามาสแต่ได้ปฏิเสธว่ามีบทบาทโดยตรงกับเหตุโจมตีครั้งนี้มาตลอด

ในวันพฤหัสบดี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน เดินทางเยือนเทล อาวีฟ ในภารกิจเพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับอิสราเอล เขาได้กล่าวกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ว่าอเมริกาจะอยู่เคียงข้างอิสราเอลเสมอ

บลิงเคน กล่าวระหว่างพบปะกับเนทันยาฮูว่า “คุณอาจจะแข็งแกร่งพอในการปกป้องตนเอง แต่ตราบเท่าที่อเมริกายังอยู่ คุณจะไม่ต้องทำเช่นนั้น เราจะคอยอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”

ฝั่งเนทันยาฮู กล่าวด้วยว่า “ขอบคุณ อเมริกา ที่ยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอล ในวันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดมา”

บลิงเคนเยือนอิสราเอลพร้อมกับรองผู้แทนพิเศษด้านกิจการเกี่ยวกับตัวประกัน สตีฟ กิลเลน ที่จะไปอยู่ที่อิสราเอลเพื่อสนับสนุนงานด้านการปล่อยตัวประกัน

รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ จะเดินทางไปยังจอร์แดนและกาตาร์ต่อ โดยมีกำหนดการบินไปยังกรุงโดฮาในวันศุกร์ เพื่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกาตาร์ นอกจากนั้น เขายังยืนยันว่าจะเดินทางไปยังซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์หลังจากการเยือนจอร์แดน

กาตาร์มีความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาส และในอดีตเคยเป็นผู้ประสานงานในการหารือเพื่อคลายความตึงเครียดในพื้นที่บริเวณฉนวนกาซ่า

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net