Skip to main content
sharethis

'ค่าไฟถูกลงแล้ว แต่ถูกกว่านี้ได้อีก' 'ก้าวไกล' แนะ รบ.กล้าเรียกเอกชนมาเจรจา แก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ลดค่าความพร้อมจ่าย ชี้ช่วยลดค่าไฟลงต่ำกว่านี้ได้เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย

 

19 ก.ย. 2566 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานวันนี้ (19 ก.ย.) ศุภโชติ ไชยสัจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงมาตรการลดค่าไฟ ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (18 ก.ย.) รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานผลการหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุสามารถลดค่าไฟฟ้าจาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทันทีในรอบบิลเดือน ก.ย. 2566

ศุภโชติ กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องยินดีกับพี่น้องประชาชนทุกคน การตรึงค่าไฟและยืดหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นสิ่งที่ทางพรรคก้าวไกล เห็นด้วยว่าควรทำในระยะเร่งด่วนนี้ แต่การกระทำนี้ไม่สามารถตอบโจทย์การทำให้ค่าไฟลดลงในระยะยาว แถมยังซ่อนความน่ากลัวเอาไว้หากไม่มีมาตรการอื่นมาทดแทน

เนื่องจากในปัจจุบัน แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติที่มีแต่สูงขึ้น ก้อนหนี้ที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และอีกไม่นานเมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้ ตอนนั้นอาจต้องควักเงินจากกระเป๋าประชาชนมาจ่ายมากกว่าเดิม

“ปัจจุบันเหมือนเป็นการโยกกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา การกระทำแบบนี้เหมือนเล่นกับความคาดหวัง ความหวังที่ราคาก๊าซธรรมชาติจะถูกลง จากนั้น ค่อยคืนหนี้ กฟผ. ผมกลัวว่า ถ้าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด กฟผ. จะมีสถานะเหมือนกับการรถไฟไทยฯ ที่หนี้สินล้นพ้นตัว และความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนก็จะลดลงไปด้วย” ศุภโชติ กล่าว

ศุภโชติ กล่าวต่อว่า หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล พวกเรามองถึงปัญหาที่ต้นตอและคิดหาวิธีการทำให้ราคาค่าไฟ นอกจากจะถูกลงอย่างยั่งยืน ยังเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชนอีกด้วย โดยพวกเราเห็นว่ามี 3 เรื่องที่ควรทำ คือ (1) ยืดหนี้ กฟผ. (2) การปรับการคำนวณราคาของก๊าซธรรมชาติใหม่ และ (3) การเร่งเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชน เพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย

นอกเหนือจากการยืดหนี้ที่ควรจะทำในระยะเร่งด่วนนั้น พวกเราคิดว่า การปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ลดลงอย่างยั่งยืนได้ เนื่องจากปัจจุบันก๊าซราคาถูกที่ขุดจากอ่าวไทย ถูกนำไปให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ก่อน ส่วนก๊าซที่นำมาผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนใช้ มาจากก๊าซอ่าวไทยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้เหลือและก๊าซที่มาจากการนำเข้าซึ่งมีราคาแพงมาก ซึ่งเท่ากับตอนนี้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ถูก ประชาชนใช้แพง ดังนั้น หากนำ 2 ส่วนนี้มาถัวเฉลี่ยกัน จะสามารถทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่นำไปผลิตไฟฟ้าให้ประชาชน ถูกลงได้มากกว่าปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน เราเห็นว่า รัฐบาลควรเร่งให้มีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่รัฐเคยทำโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ภาคเอกชนเพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย ปัจจุบัน ประเทศไทยประสบปัญหาการมีจำนวนโรงไฟฟ้าเกินความจำเป็น ส่งผลให้ปริมาณสำรองไฟฟ้ามากเกิน ทำให้บางโรงที่แทบไม่ต้องผลิตไฟฟ้าหรือไม่ได้เดินเครื่องเลยตลอด 1 ปี กลับได้เงินผ่านค่าความพร้อมจ่ายนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาสัญญา 25 ปี ซึ่งในปีที่ผ่านๆ มา ประชาชนต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายนี้ที่แฝงอยู่ในค่าไฟของพี่น้องประชาชนทุกคนให้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องกว่าเกือบหมื่นล้านบาทต่อปีฟรีๆ

ศุภโชติ กล่าวว่า ตนและพรรคก้าวไกลจึงคิดว่าการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้น เป็นมาตรการที่รัฐบาลควรทำ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟให้กับประชาชนในระยะยาวได้อีกวิธี เนื่องจากที่ผ่านมามีหลายบริษัทเอกชนมักอ้างการระบาดของโควิด-19 เป็นเหตุสุดวิสัยในการขอเจรจาสัญญาสัมปทานใหม่กับทางภาครัฐ ดังนั้น เมื่อประกอบกับช่วงโควิดมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยลง ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ตอนคิดจะสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านี้ รัฐบาลก็ควรสามารถใช้เหตุผลเดียวกันนี้ ในการขอเจรจากับเอกชนเพื่อลดค่าความพร้อมจ่ายลงไปก่อน

จากที่กล่าวมาทั้ง 3 วิธี พรรคก้าวไกลเห็นว่าสามารถลดค่าไฟได้ทันทีอย่างน้อย 70 สตางค์ต่อหน่วย ภายในระยะเวลา 1 ปี ทั้งเป็นวิธีที่มีความยั่งยืนและเป็นธรรมกับประชาชน


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net