Skip to main content
sharethis

นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สมุทรสงคราม เร่งแก้ปัญหาประมง เดินหน้าปลดล็อคอุปสรรคด้านแรงงาน - กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ทวงคืนตำแหน่งเจ้าสมุทรกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้ง

1 ก.ย.2566 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยรายงานต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้ (1 ก.ย.) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  พร้อมด้วยแกนนำพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ร่วมลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนและภาคการประมง  ณ ท่าเทียบเรือโรงน้ำแข็งศิริไพโรจน์ จ.สมุทรสงคราม โดยมีชาวประมงจังหวัดสุมทรสงครามและใกล้เคียงเข้าร่วมรับฟังและสะท้อนปัญหาร่วม กว่า 200 คน 

ประเด็นสำคัญมาจากกรณีที่สหภาพยุโรปประกาศให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ( Illegal, Unreported and Unregulated Fishing :IUU Fishing) โดยให้ใบเหลืองประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน ปี 2558 ปัจจุบันได้ปลดใบเหลืองประเทศไทยแล้ว เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี 2562  ในช่วงของการดำเนินการตามสหภาพยุโรป  ประเทศไทยได้ออก พ.ร.ก.การประมง ปี 2558 ฉบับแก้ไข สร้างผลกระทบให้กับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้านเป็นอย่างมาก  โดยชาวประมงได้เสนอประเด็นปัญหาหลายด้าน เช่น 

1. ขอให้แก้ไขการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวในเรือประมง  ติดขัดกับประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี และคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีประกาศการเข้าเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่เกินกำหนดระยะเวลา (Overstay) 

2. ขอให้อำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนการขออนุญาตการใช้แรงงานต่างด้าว มีหน่วยงานที่รับผิดชอบมากเกินไป  ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหายุ่งยาก และเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก 

3.ขอให้แก้ไขกฎหมายการประมง ที่กำหนดโทษรุนแรงเกินกว่าเหตุ เช่น ในขั้นตอนการลำเลียงสัตว์น้ำ  ต้องมีการแสดงเอกสารรายชื่อแรงงานที่ลงเรือ หากมีรายชื่อแรงงานผิดคนเดียว  จะถูกปรับไม่ต่ำกว่าแสนบาท ถึงนับล้านบาท  ขึ้นอยู่กับขนาดเรือ 

4. ขอให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน แก้ปัญหาการประมง 

5. ขอให้ยกเลิกการติดตั้งเครื่องวิทยุคมนาคมสำหรับเรือประมง (วิทยุขาวดำ) ซึ่งไม่มีความจำเป็น เป็นต้น

เศรษฐา กล่าวว่า  วันนี้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งในบทบาทใหม่ เพื่อเข้ามารับฟังปัญหา มีผู้ที่รู้จริง ทำจริง เข้ามาเตรียมพร้อมการทำงานร่วมกัน วันนี้ได้เห็นถึงความยากลำบากของพี่น้องประชาชน  ขอให้พี่น้องชาวประมงมั่นใจว่า คณะทำงานที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาล  จะเดินหน้าทำงานเต็มที่ ในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวประมงทุกคน นับตั้งแต่ที่ตนได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เรื่องแรกที่เร่งดำเนินการ คือการส่งเสริมการท่องเที่ยว  เรื่องที่ 2 ซึ่งได้ดำเนินการในต้นสัปดาห์นี้ คือ การแก้ไขหนี้สิน และในวันนี้ถือเป็นเรื่องที่ 3 คือการทำการประมง  ซึ่งถือว่ามีความสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญสูงสุด โดยก่อนที่จะมีการออกกฏหมายเพื่อปฎิบัติตามกฏ IUU Fishing ประเทศไทยเคยส่งออกสัตว์ทะเลคิดเป็นมูลค่า 350,000 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องนำเข้าสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่า 150,000 ล้านบาทต่อปี 

ในเบื้องต้น ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย และคณะทำงานของพรรคเพื่อไทย จะเริ่มศึกษาการปลดล็อคปัญหาด้านแรงงาน เฉพาะกลุ่มการประมงก่อน ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับกระทรวงแรงงาน  โดยมีแนวคิดจะทำ One stop service  เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องชาวประมง  งานเอกสารที่ยังเป็นกระดาษ อยากให้ใช้ระบบออนไลน์ทั้งหมด เพื่อจะได้สะดวกขึ้น  หากประเด็นใดที่อยู่ในอำนาจนายกรัฐมนตรี  จะสามารถตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน  เพื่อทำงานได้โดยเร็ว และทันท่วงที  เรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้ จะทำก่อน อาจจะทำไม่ได้ในคราวเดียวทั้งหมด เพราะยังมีเรื่องกฎกระทรวง กรม  ที่จะต้องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี  ส่วนกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการประมง ที่ตกไป 13 ฉบับ มั่นใจว่าจะแก้ไขได้  ฝากร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีความพร้อมที่จะช่วยเหลือเต็มที่  ปัญหาใหญ่มากมาย  ต้องแก้ไขให้ทันเวลา 

ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ  ทั้งเรื่องการบังคับติดตั้งวิทยุขาว ดำ บนเรือ ซึ่งไม่มีความสำคัญ อาจจะมีการพิจารณายกเลิก  รวมถึงจะขอเปิดการเจรจาระหว่างประเทศกับอินโดนีเซียในการเปิดน่านน้ำอินโดนีเซีย  เนื่องจากอินโดนีเซียมีทรัพยากร ส่วนไทยมีความรู้ความสามารถในการทำการประมง หากจัดสรรกันอย่างลงตัว  จะเดินไปข้างหน้าร่วมกันได้ง่ายขึ้น  โดยมีนางนลินี และนายปานปรีย์  ในการประสานงานการเจรจาระหว่างประเทศ 

ส่วนกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการประมง ที่ตกไป 13 ฉบับ มั่นใจว่าจะแก้ไขได้ ฝากร้อยเอกธรรมนัสดูแลรับผิดชอบ  ส่วนที่ผู้ประกอบการที่มีความเป็นห่วงเรื่องค่าแรงที่ต้องทยอยปรับขึ้น ย้ำว่า การขึ้นค่าแรงเป็นนโยบายหลัก ต้องมีการระมัดระวัง  แต่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นค่าแรง เพราะค่าครองชีพที่สูงขึ้น  ซึ่งต้องทำไปพร้อมกับการให้ความสำคัญในการเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะภาคเอสเอ็มอี  ต้องหารือร่วมกันหลายฝ่ายและทำทันที  ส่วนจะเกิดประสิทธิผลเมื่อไหร่  อย่างไร  ต้องทำงานร่วมกันกับพรรคร่วมรัฐบาล เราเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วม  ต้องประสานความร่วมมือกัน  

“8-9 ปีที่ผ่านมา ที่ประมงไทยต้องหยุดชะงัก ติดหล่ม  ไม่อยากโทษใคร  แม้ประเทศไทยเคยส่งออกสัตว์ประมงได้ 350,000 ล้านบาท  ตอนนี้นำเข้า 150,000 ล้านบาท  ผ่านมากี่ปีสูญเสียเงินไปเท่าไหร่ ซึ่งเราต้องไปแก้ไขกัน เดินหน้าดีกว่า อย่ามองปัญหาเก่า  ขอให้พี่น้องมั่นใจในพรรคเพื่อไทย  และรัฐบาลชุดใหม่  เราเป็นรัฐบาลของประชาชน เราเชื่อมั่นว่ารัฐมนตรีทุกคน มีความเป็นห่วงต่อประชาชนและมีความเป็นห่วงประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ปลอดประสพ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้เริ่มดำเนินการศึกษาและหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องกฎระเบียบระดับย่อย ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาทบทวนอยู่ในขณะนี้ รวมถึงการศึกษาเรื่องกฎหมายลูกด้านการประมง โดยให้เวลาศึกษาเร่งทำงานให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์  ส่วนการศึกษากฏหมายหลักด้านการประมง มีวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จะรวบรวมข้อมูลนำเสนอต่อประธานสภาเพื่อพิจารณานำเข้าสู่ที่ประชุมสภาโดยเร็วที่สุด   ส่วนการเจรจาระหว่างประเทศ  จะมีการเริ่มเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านก่อน  เพื่อนำไปสู่การเจรจากับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations :FAO) ซึ่งเป็นเจ้าของระเบียบ IUU Fishing และจะเจรจากับสหภาพยุโรปในลำดับต่อไป  เพื่อให้ประเทศไทยกลับไปสู่ยุครุ่งเรือง  กลับไปสู่การเป็นเจ้าสมุทรอีกครั้ง 

ผู้ประกอบการเรือประมงที่เข้าร่วมหารือในวันนี้ ได้แก่
1. มงคล สุขเจริญคณา ประธานคณะกรรมการบริหารสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย
2. ชินชัย สถิรยากร เลขาธิการสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย
3. ผู้แทนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย
4. ผู้แทนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย
5. ผู้แทนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย

นอกจากวิสุทธิ์ ปลอดประสพ และร้อยเอกธรรมนัส ที่ร่วมลงพื้นที่ครั้งนี้แล้ว ยังมี มนพร เจริญศรี สส.นครพนม พรรคเพื่อไทย นลินี ทวีสิน คณะทำงานด้านนโยบายต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม คณะทำงานด้านนโยบายการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทย ณิชาภา โกวิทานนท์ อดีตผู้สมัคร สส.สมุทรสงคราม พรรคเพื่อไทย และไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net