Skip to main content
sharethis

ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหาทหารยิงเพื่อนร่วมงาน ระบุยังต้องรอสอบสวนแพทย์ เพื่อนร่วมงานและครอบครัวเพื่อความชัดเจนเรื่องอาการป่วยทางสมองและมีสติสัมปชัญญะพอให้สอบสวนหรือไม่เนื่องจากยังให้การวกวนต้องสื่อสารผ่านครอบครัว เบื้องต้นยังอยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ แต่หากเกิน 48 ชม.ต้องส่งศาลทหารฝากขังต่อไป

ตำรวจคุมตัวจ.ส.ต.ยงยุทธ มังกรกิม ภาพจาก The Reporter

14 ก.ย.2565 หลังจากเกิดเหตุการณ์ยิงใช้อาวุธปืนยิงภายในกรมยุทธศึกษาทหารบกเมื่อเวลา 10.05 น.ของวันนี้ สื่อหลายแห่งรายงานความคืบหน้าตลอดทั้งวัน เบื้องต้นทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ จ.ส.ต.ยงยุทธ มังกรกิม เสมียน วิทยาลัยการทัพบก (วทบ.) อายุ 58 ปี ใช้อาวุธปืนสั้นขนาด 9 ม.ม.ยิงเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อนร่วมงานเสียชีวิตและบาดเจ็บ

ตามข่าวมีการรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 2 รายคือ จ.ส.อ.นพรัตน์ อินทสุนทร เสมียน วทบ. และ จ.ส.อ.ประการ สินส่ง เสมียน วทบ. และมีผู้บาดเจ็บอีก 1 นาย จ.ส.อ ยงยุทธ์ ปัญญานุวัฒน์ เสมียน วทบ.

The Reporter รายงานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดตั้งแต่เวลา 9.50 น. หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เจรจากับจ.ส.ต.ยงยุทธ จนยอมมอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ในเวลา 10.00 น. ก่อนถูกนำตัวไปสอบปากคำที่ สน.ดุสิตซึ่งเป็นสถานีท้องที่โดยมีนายทหารพระธรรมนูญเข้าร่วมสอบสวนด้วยเนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร เบื้องต้นจากการสอบสวนของตำรวจยังให้การวกวนอยู่ แต่พบว่ามีปัญหาทางสมองจากอุบัติเหตุและความเครียดจากการถูกเสนอชื่อย้ายออกจากหน่วยเพราะมีพฤติกรรมพกพาอาวุธปืนไปที่ทำงานจนเพื่อนร่วมงานหวาดกลัวและเคยก่อเหตุมาแล้วหนึ่งครั้งแต่ผู้บังคับบัญชาห้ามไว้ได้

พ.ต.ต.นิติธร จินตกานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลระบุว่าจากการสอบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุมีการพกพาอาวุธปืนสั้นขนาด 9 ม.ม.ไปทำงานเป็นประจำ และยังเคยเข้ารับการรักษาด้วยแต่แพทย์คงประมาณแล้วว่าสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ แต่การพกพาปืนไปที่ทำงานได้หรือไม่นั้นขึ้นกับระเบียบของหน่วยงานนั้นเป็นคำสั่งเฉพาะดูตามหน้าที่ซึ่งตำแหน่งเสมียนนั้นจำเป็นต้องพกหรือไม่นั้น ถ้าไม่มีหน้าที่แล้วพกต้องตักเตือนและวางกติกาให้ถูกต้อง

ส่วนประเด็นที่ปรากฏภาพว่าไม่มีการใส่กุญแจมือระหว่างที่ตำรวจเข้าจับกุมนั้น รอง ผบช.น.กล่าวว่าเป็นวิธีการเกลี้ยกล่อมให้ยอม การที่ผู้ก่อเหตุวางอาวุธแล้วเข้าชาร์จอาจเป็นการกระตุ้นให้ผู้ก่อเหตุเปลี่ยนใจ เป็นอำนาจตัดสินใจของเจ้าหน้าที่หน้างาน “ไม่ใช่ว่าเห็นใส่เครื่องแบบ ตำรวจจึงไม่กล้า”

ทางด้านพล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก กล่าวว่าผู้ก่อเหตุลงมือเนื่องจากอาการป่วยจากผลกระทบจากอุบัติเหตุรถล้มแล้วต้องผ่าตัดสมองเมื่อปลายปีก่อนทำให้มีอารมณ์รุนแรง และน้อยใจผู้บังคับบัญชาที่ไม่สั่งงานให้ซึ่งผู้ก่อเหตุก็มาทำงานบ้างไม่มาบ้างเนื่องจากอาการป่วย แต่ผู้บังคับบัญชาก็ดูแลเป็นอย่างดี แล้วจ.ส.ต.ยงยุทธก็ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับผู้ตาย แต่หากอาการกำเริบก็จะกระทบต่องานและมักมีปัญหากับเพื่อนข้างบ้าน ทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวเป็นบางครั้ง

ผอ.พระธรรมนูญกล่าวถึงเรื่องปืนของจ.ส.ต.ยงยุทธนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าที่ทำงานอยู่แล้ว แต่ยังต้องสอบสวนผ่านลูกชายของจ.ส.ต.ยงยุทธเท่านั้นเนื่องจากเขาไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ให้การวกไปวนมา แต่เมื่อผู้ก่อเหตุพบครอบครัวก็อาการดีขึ้นเริ่มคลายความเครียดลง โดยในส่วนของคดีเป็นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการต่อไปรวมทั้งจะมีการสอบสวนทางวินัยด้วย แต่ยังไม่แล้วเสร็จจึงต้องขังไว้ที่ สน.ดุสิตก่อน

จนเวลา 16:40 น. พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ระบุว่ายังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาเนื่องจากยังมีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องทั้งญาติและเพื่อนร่วมงานอีก 10 ปาก และผู้ต้องหาก็ยังให้การวกวนจึงต้องสอบถามแพทย์ที่เคยรักษาและแพทย์ที่สามารถตรวจสอบสภาพทางจิตใจได้ว่าผู้ต้องหาจะให้การต่อพนักงานสอบสวนได้อย่างไรและยืนยันว่าผู้ก่อเหตุมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นยังยืนยันไม่ได้มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์และเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องทำให้ปรากฏ

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่อว่าทางเจ้าหน้าที่ก็มีเวลา 48 ชั่วโมงซึ่งหลังจากนั้นต้องนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังกับศาลทหารซึ่งมีอำนาจพิจารณาคดีของทหาร ส่วนการควบคุมตัวจะอยู่ในพื้นที่ สน.ดุสิตหรือไม่นั้นไม่สามารถตอบได้แต่อยู่ในควบคุมตัวของพนักงานสอบสวนแน่นอน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net