EnLAW เปิดข้อมูลและที่มาโครงการถมทะเลระยองพันไร่เพื่อสร้างท่าเทียบเรือมาบตาพุดระยะ 3 ที่กฎหมายของโครงการผ่านออกมาโดย ม.44 ยุค คสช. จนเป็นเหตุที่ ไมค์ ภานุพงษ์ต้องออกมาถือป้ายประท้วงพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนถูกตำรวจใช้หมายจับมาจับตัวไป

27 ส.ค.2563 มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม หรือ EnLAW ทวีตข้อมูลโครงการถมทะเลสร้างท่าเทียบเรือในจังหวัดระยอง หลังจากเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 63 ที่ภานุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยองถูกจับระหว่างไปชูป้าย “ถมทะเล 1,000 ไร่ ชาวระยองได้อะไร” ประท้วงนายกขณะเดินทางไปประชุมครม.สัญจรที่ระยอง

โครงการถมทะเลมีที่มาจาก เมื่อ 1 ต.ค. 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงทุน โครงการท่าเรือมาบตาพุดระยะ 3 วงเงิน 55,400 ล้านบาท รวมแผนที่จะขุดลอกถมทะเลถึง 1,000 ไร่เพื่อทำเป็นท่าเทียบเรือและคลังสินค้า โดยไม่ต้องทำตามกฎหมายเกี่ยวกับการถมทะเล ผังเมือง หรือ EIA ตามขั้นตอนกฎหมายปกติ

EnLAW อธิบายเหตุที่โครงการนี้ไม่ได้ใช้ขั้นตอนตามกฎหมายปกติว่า ในสมัย คสช.ได้ใช้มาตรา 44 (ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557) ออกพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (พ.ร.บ.EEC) ทำให้มีการยกเว้นและลัดขั้นตอนทางกฎหมายจำนวนมากในโครงการหลักของ EEC และกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 14 กระทรวงมานั่งเป็นคณะกรรมการนโยบายEEC ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจในเกือบทุกเรื่องของโครงการ

EnLAW ระบุอีกว่า โครงการถมทะเลของ EEC อาจก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและอาชีพประมงของชุมชนโดยรอบอย่างรุนแรง จากที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่ ทำให้ชาวประมงในพื้นที่ต้องออกไปจับสัตว์น้ำไกลจากฝั่งมากขึ้น หรือต้องเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพิ่มทำให้เกิดต้นทุนชีวิตเพิ่มขึ้นชัดเจนและจะเกิดการแย่งชิงฐานทรัพยากรกับชุมชนในอนาคตด้วย

นอกจากนั้นปัญหาเดิมอย่างสัตว์น้ำที่เป็นอาหารของประชาชนเคยปนเปื้อนสารเคมีจากท่าเรือมาบตาพุดเฟส 1 และ 2 รวมถึงอุบัติเหตุจากการดำเนินการของท่าเรือในพื้นที่หลายครั้ง เช่น น้ำมันรั่วไหล ปัจจุบันคดีความเรียกร้องค่าเสียหายก็ยังไม่แล้วเสร็จ