Skip to main content
sharethis

สืบเนื่องมาจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้ฟ้องขับไล่ชาวชุมชนบ่อแก้วและที่ปรึกษาเครือข่าย รวม 31 คน ออกจากพื้นตั้งแต่ปี 2552 หลังจากต่อสู้คดีมายาวนาน ล่าสุดในปีนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว ออกจากพื้นที่และเจ้าหน้าที่ได้เข้าปิดหมายบังคับให้คดีให้มีการย้ายออกภายในวันที่ 27 ส.ค. นี้

ภาพจากเพจ สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน

27 ก.ค.2562 วานนี้ (26 ก.ค.62) สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน รายงานว่า เวลาประมาณ 12.00 น. เจ้าหน้าที่สนธิกำลังกันกว่า 50 นายเข้าปิดหมายบังคับคดีที่ชุมชนบ่อแก้ว สืบเนื่องมาจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้ฟ้องขับไล่ชาวชุมชนบ่อแก้วและที่ปรึกษาเครือข่าย รวม 31 คน ออกจากพื้นตั้งแต่ปี 2552 หลังจากต่อสู้คดีมายาวนาน ล่าสุดในปีนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน นับจากมีคำสั่งศาลฎีกา หรือวันที่ 27 ส.ค. นี้ จึงเป็นที่มาของการติดหมายบังคับคดี

อนึ่งชาวชุมชนบ่อแก้วเข้าถือครองพื้นที่ตั้งแต่ปี 2496 เป็นต้นมา โดยมีหลักฐาน ภ.บท. 11 ต่อมาปี 2516 รัฐได้ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม ปี 2521 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ขอเข้าทำประโยชน์ปลูกสร้างสวนป่า ในระบบสมาชิกโครงการหมู่บ้านป่าไม้ เนื้อที่ 4,401 ไร่ และนำมาสู่การผลักดัน ขับไล่ชาวบ้านออกจากที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัย จำนวน 12 ครัวเรือน 

นับตั้งแต่การเข้ามาของ ออป. ชาวบ้านมีการเคลื่อนไหวคัดค้านมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถยุติการดำเนินงานได้ กระทั่งพื้นที่ทำกิน กลายสภาพเป็นสวนยูคาลิปตัสในที่สุด โดยรายสุดท้ายที่จำต้องออกจากพื้นที่ ในปี พ.ศ. 2529 คือ นายวัก โยธาธรรม ต่อมา ปีพ.ศ. 2547 ชาวบ้านได้มีการชุมนุม และการกลไกร่วมในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีพัฒนาการแก้ไขปัญหาต่อเนื่องมา กระทั่งปัจจุบัน ทั้งนี้ สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินอีสานมีข้อสังเกตได้แก่

1. กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงระดับพื้นที่ของคณะทำงาน คณะกรรมการ และอนุกรรมการต่างๆ มีแนวทาง มาตรการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน เป็นที่ยุติแล้ว กล่าวคือ ให้ยกเลิกสวนป่าคอนสาร แล้วนำที่ดินมาจัดสรรให้กับราษฎรผู้เดือดร้อน เหลือเพียงการตัดสินใจทางนโยบายเท่านั้น ซึ่งมีความล่าช้า กระทั่งนำมาสู่ปัญหาคดีความในที่สุด

2. กระบวนการแก้ไขปัญหาของคณะทำงานระดับพื้นที่ ตามคำสั่งอำเภอคอนสารที่ 61/2548 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาราษฎรกรณีปลูกป่าทับที่ดินทำกิน เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 มิถุนายน 2541 เรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ ทั้งนี้ พื้นที่สวนป่า อยู่ในประเภทพื้นที่อื่นๆที่สงวนหรืออนุรักษ์ไว้เพื่อกิจการป่าไม้ มีมาตรการแก้ไขปัญหาคือ “กรณีที่มีราษฎรร้องเรียนเสนอปัญหา ให้จังหวัดแต่งตั้ง คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้มีทั้งฝ่ายราชการ และราษฎรฝ่ายละเท่าๆกัน การตรวจสอบข้อเท็จจริงให้พิสูจน์การอยู่อาศัย ครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่ให้ชัดเจนว่ามีมาก่อนหรือไม่ ราษฎรเดือดร้อนอย่างไร เคยได้รับการช่วยเหลือจากราชการมาแล้วหรือไม่ แล้วเสนอมาตรการ หรือแนวทางแก้ไขปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการ และแนวทางของแต่ละพื้นที่ที่เป็นปัญหา ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบให้ความเป็นธรรมกับราษฎรให้มากที่สุด” นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้ตั้งข้อสังเกตให้กรมป่าไม้พิจารณาในข้อ 2.4 ความว่า “กรณีที่มีราษฎรร้องเรียนเกี่ยวกับการปลูกป่าในพื้นที่ที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) เช่าจากกรมป่าไม้ว่า ปลูกป่าทับที่ของราษฎร กรมป่าไม้ควรประสานกับ ออป. ให้ระงับการปลูกป่าในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทไว้ก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติ และหากพิสูจน์ได้ว่า ออป. ปลูกป่าทับที่ราษฎรจริง ควรมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าไม้ที่ได้ปลูกไปแล้วจะดำเนินการอย่างไร”

3. ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2552 เรื่องผ่อนผันให้ราษฎรได้อาศัยทำกินในพื้นที่ตามวิถีชีวิตปกติไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อยุติ และครั้งที่ 1/2553 ที่รองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ผู้แทนองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ มีความเห็นว่า การแก้ไขปัญหาให้ได้ข้อยุตินั้น เป็นเรื่องที่ฝ่ายนโยบายต้องพิจารณาดำเนินการต่อไป 

ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาได้ข้อยุติ ควรนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกสวนป่าคอนสาร จากนั้นให้ส่งมอบพื้นที่ให้สำนักงานการปฏิรูปทีดินเพื่อเกษตรกรรม ( สปก.) ดำเนินการปฏิรูปที่ดินแก่ราษฎรผู้เดือดร้อน หรือจัดการบริหารที่ดินและทรัพยากรในรูปแบบโฉนดชุมชน ภายใต้แผนการจัดการที่ดินและทรัพยากรที่ยั่งยืน โดยชุมชน ต่อไป

ไทม์ไลน์คดี

วันที่ 27 ส.ค. 2552 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้ฟ้องขับไล่ ชาวบ้านผู้เดือดร้อน และที่ปรึกษาเครือข่าย รวม 31 คน ออกจากพื้นที่พิพาทต่อศาลจังหวัดภูเขียว พร้อมกันนี้ ได้ขอคุ้มครองชั่วคราว ในการห้ามมิให้ขยายเขตพื้นที่ครอบครองออกจากพื้นที่เดิม ห้ามนำวัสดุสร้างที่อยู่อาศัย ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น และห้ามขัดขวางโจทก์ในการเข้าตรวจสอบ บำรุงดูแลพื้นที่สวนป่าพิพาท ซึ่งศาลอนุญาตตามคำขอ และได้นำหมายห้ามชั่วคราวมาติดในพื้นที่พิพาท วันที่ 28 สิงหาคม 2552

วันที่ 28 เมษายน 2553 นัดฟังคำพิพากษาศาลจังหวัดภูเขียว ความแพ่ง ฐานขับไล่ นายนิด ต่อทุน กับพวกร่วม 31 ราย ศาลพิพากษาให้ออกจากสวนป่าคอนสารแปลงปลูก 2522 (2550) ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม กับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ และบริวารที่ได้นำไปปลูกไว้ในพื้นที่พิพาท และปรับสภาพพื้นที่สวนป่าให้กลับคืนสู่สภาพเดิม และห้ามเข้าเกี่ยวข้องในพื้นที่สวนป่าคอนสารทั้งหมดอีก และให้ใช้ค่าทนายความแทน 10, 000 บาท

วันที่ 24 มิถุนายน 2553 ทนายความฝ่ายชาวบ้าน (จำเลย) ได้ยื่นขออุทธรณ์ และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ซึ่งศาลได้รับคำอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีดังกล่าว ศาลรับอุทธรณ์ในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553 

วันที่ 9 สิงหาคม 2553 ทนายความฝ่ายโจทก์ (ออป.) ได้ยื่นแก้อุทธรณ์ คัดค้านคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีและขอออกหมายบังคับคดีต่อศาล

วันที่ 7 ตุลาคม 2553 ทนายฝ่ายชาวบ้าน (จำเลย) ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว ศาลรับคำร้อง

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งศาลนัดไต่สวนคำร้องของดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว

วันที่ 13 ธันวาคม 2553 ศาลนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 เรื่องการขอทุเลาการบังคับคดี และนัดไต่สวนคำร้องของดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว ซึ่งศาลได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี 

วันที่ 21 ธันวาคม 2554 นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

วันที่ 29 มกราคม 2562 ศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำสั่งให้ชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว ออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน นับจากมีคำสั่งศาลฎีกา และเป็นที่มาของการติดหมายบังคับคดี

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net