Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

พลันที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ขึ้นกล่าวปราศรัย แนะนำตัว และแสดงวิสัยทัศน์ในนามหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในการประชุมจัดตั้งพรรคครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมานั้น ข้อความที่หนักแน่นและสัญญาณที่ชัดเจนได้ถูกส่งต่อและกระจายไปยังพื้นที่สาธารณะของทุกกลุ่มการเมือง ถึงความพร้อมในการก้าวเดินในเส้นทางนี้อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ และพร้อมจะเป็นแนวร่วมแถวหน้า เป็นผู้จุดประกายแห่งความหวัง ให้สังคมตื่นขึ้นจากความมืดมิดทางการเมืองและความมืดบอดทางปัญญา ทั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ที่ดีกว่าเก่า และเพื่อส่งต่อไปยังลูกหลานคนไทยในอนาคต

ธนาธร ได้เล่าถึง ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่เป็นเพียงคนจีนอพยพธรรมดาคนหนึ่งจากซัวเถาที่อยากให้ลูกๆ เติบโตขึ้นมาในสภาพสังคม สภาพแวดล้อมที่ดีกว่าคนรุ่นก่อน อีกทั้งยังสอนลูกๆ ทุกคนให้เป็นคนมัธยัสถ์ อดออม รักความเป็นธรรม และไม่เอาเปรียบผู้อื่น

ถึงแม้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่เคยเจอกับความลำบาก มีชีวิตที่สุขสบาย แต่สิ่งใดที่จะทำให้ตี๋ลูกจีนคนนี้จะเข้าใจชีวิตคนยากไร้ เข้าใจคนจนได้อย่างไร นี่เป็นคำถามที่หลายคนยังคลุมเครือและเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งธนาธรก็ได้ให้คำตอบว่า

“…ผมในฐานะเป็นคนโชคดีกว่าคนอื่น ที่เกิดมามีอันจะกิน ทำให้รู้สึกว่า ภายใต้สังคมที่มันมืดมิดอย่างนี้ ถ้าผมในฐานะคนที่มีทรัพยากรมากกว่าคนอื่น ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลยให้กับสังคม ผมจะตอบลูกหลานได้อย่างไรว่า วันที่มืดมิดที่สุดของสังคม ผมทำอะไรอยู่ ผมจะมีความสุขได้อย่างไร ในขณะที่พี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่ทุกหย่อมหญ้า…”

“…ปัจจุบันคือเริ่มต้นการเดินทาง การเดินทางที่จะนำการเมืองไทยออกจากความขัดแย้ง ด้วยการสร้างฉันทามติของการอยู่ร่วมกันใหม่ การเมืองไทยที่จะหาฉันทามติร่วมกัน คือฉันทามติแห่งการกลับมาสู่วิถีประชาธิปไตย นี่คือการเริ่มต้นของการเดินทางที่จะพาสังคมไทยออกจากอนาคตเก่า ด้วยการเมืองแห่งความหวัง…”

ธนาธร ได้แสดงเจตนารมณ์ว่า “…ในด้านการมีส่วนร่วม พรรคของเราพูดในสิ่งที่ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนสังคมไม่พร้อมจะรับฟัง ดูเหมือนสิ่งที่พูดตอนที่ก่อตั้งพรรค ดูเหมือนจะก้าวร้าวและทำให้สังคมหวาดกลัว แต่ทุกวันนี้วาระที่เราพูด ใครๆ ก็พูดกัน เช่น การไม่เอารัฐธรรมนูญปี 60 , การลดอำนาจทหาร , การทำให้รัฐประหารที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย ทุกวันนี้ประชาชนพูดเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ พวกเรามีส่วนร่วมในการปักวาระที่ก้าวหน้านี้ให้กับสังคม แต่ทั้งหมดนี่คือพวกเรา ทุกคนที่มาที่นี้และอีกหลายคนที่ไม่ได้มา แสดงให้เห็นว่า ในสังคมไทยยังมีพลังที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางความมืดมิดยังมีกองไฟอีกหลายกองที่ส่องสว่างอยู่ บางกองอาจกำลังจะมืดมิด บางกองกำลังหาแรงบันดาลใจใหม่ มาร่วมกันเป็นฟืนแห่งกำลังใจให้แก่กันและกัน หน้าที่ของเราคือ นำกองไฟเหล่านี้มารวมกันแล้วโหมกระพือ ทำให้เป็นกองไฟที่ใหญ่โตและเจิดจรัส ส่องแสงท่ามกลางสังคมที่มืดมิดอีกครั้งหนึ่ง…”

จุดยืนที่ชัดเจนเช่นนี้ได้สื่อสารเพื่อบอกสังคมและประชาชนว่า การปฏิวัติสังคมสามารถทำได้ทุกวัน อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายที่ต้องทะเลาะ ถกเถียง หรือโต้แย้งทางความคิดกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองในสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในอินเทอร์เน็ทหรือเฟซบุ๊ค หากคุณมีสิ่งที่เชื่อและศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว จงเริ่มพูดคุยหรือจัดวงเสวนากับคนรอบข้างอย่างมีเหตุผล รณรงค์ในสิ่งที่คุณเชื่อและศรัทธาด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครมารณรงค์ให้คุณ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ทุกคนเห็นว่า “…การเมืองเป็นเรื่องปกติของประชาชน ทำให้ทุกคนเห็นว่า คนที่มีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ใช่คนที่สกปรก ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัว อย่างที่พวกเขาต้องการให้เราเชื่อ เราสามารถทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ สนุกสนาน และมีชีวิตชีวาได้อย่างที่เราทำกันในวันนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็หนักแน่นและเต็มไปด้วยอุดมการณ์ได้เช่นกัน และนั่นคือการเมืองที่พรรคนี้อยากจะสร้างขึ้น บางครั้งในการทำสิ่งเหล่านี้อาจจะสำเร็จ แต่มากครั้งเราจะล้มเหลว และการล้มเหลวจะทำให้เราได้ประสบการณ์และเติบโต แต่เมื่อเราทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกหลายคนที่อยู่รอบข้างเรา มาทำให้การเมืองเป็นเรื่องของคนธรรมดา มาทำให้การปฏิวัติสังคมเป็นเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน…”

แต่ความกังวลใจก็ยังมีอยู่ เพราะการประชุมจัดตั้งพรรคนี้ถือเป็นก้าวแรกของการเริ่มต้นเดินทาง และก้าวต่อไปจะเป็นการเดินทางที่หนักกว่าสาหัสกว่านี้ เพราะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายที่รออยู่ข้างหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ยังมั่นคงในอุดมการณ์ในการสร้างอนาคตใหม่ให้สังคมไทยก็คือ “…เพื่อกรรมกรที่ได้รับค่าแรงเพียงค่าแรงขั้นต่ำ แต่กำลังจะเกษียณอายุโดยไม่มีเงินเก็บ , เพื่อคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และอยากนำความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองมาสร้างธุรกิจใหม่ แต่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อค่าใบอนุญาต แต่ต้องจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้กับเจ้าพ่อ , เพื่อเยาวชนที่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นหนี้ เราจะต้องไม่ให้เขาถูกกักขังด้วยชาติกำเนิด , เพื่อคนที่มีความฝันทุกคน ไม่ว่าความฝันนั้นจะเรียบง่ายหรือทะเยอทะยาน ให้มีโอกาสได้ไล่ตามความฝันของตัวเอง…”

สิ่งที่ธนาธรได้เน้นย้ำและพูดถึง ก็คือ “…การเมืองแห่งความหวัง อยากให้ใคร่ครวญสักนิดว่า ทำไมเราต้องพูดถึงการเมืองแห่งความหวัง คนที่มาที่นี่รู้อะไรบางอย่างที่ทหาร สื่อกระแสหลัก และคนชั้นนำไม่รู้และไม่มีทางจะรู้ นั่นคือ ประชาชนรู้สึกเบื่อระอาเต็มทีกับการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย ทุกคนถามคำถามเดียวกันทั่วประเทศว่า เมื่อไหร่ชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น ประชาชนทั้งประเทศถามว่า ทำไมคนที่รวยที่สุดในประเทศเพียง 5 คน ถึงมีความมั่งคั่งถึง 3 ล้านล้านบาท , ทำไมคนที่รวยที่สุดเพียง 1% ถึงมีความมั่งคั่งมากกว่าคนอีก 60 กว่าล้านคนรวมกัน , ทำไมคนเพียงแค่ 10% ถึงถือครองที่ดินในการทำกินมากกว่า 90% ของที่ดินทั้งประเทศ , ทำไมประเทศไทยถึงมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเยอะเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย ไม่เคยมีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้จากคนชั้นนำ ไม่มีคนตอบคำถามนี้ แต่ผมจะตอบให้ดู...”

“…ทุกโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในทุกวันนี้ มันออกแบบมาเพื่อคนกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนี้ต้องการที่จะเยื้อไว้ หยุดประเทศไทยไว้ ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เพราะการก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลง หมายถึงการทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่พวกเขาได้ประโยชน์อยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องการรักษามันไว้ ให้อยู่ในสภาพปัจจุบันให้นานเท่านาน...”

ธนาธร ได้ฉายภาพว่า กลุ่มคนชั้นนำที่เป็นคนส่วนน้อยในสังคมนั้นได้พยายามสร้างภาพ ผลิตซ้ำวาทกรรม พร้อมทั้งเล่านิทานก่อนนอน เพื่อหลอกลวงประชาชนให้เชื่อว่า ที่ผ่านมาประชาชนนั้นโง่เขลา เกียจคร้าน และพร้อมจะขายสิทธิ์ขายเสียงหรือขายความเป็นมนุษย์เพื่อเงิน การที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จน ไม่ใช่เรื่องความเกียจคร้านหรือความโง่ แต่เป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ถูกกีดกัน สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถหลุดพ้นจากความจนได้ ประชาชนไม่มีสิทธิและเสรีภาพอย่างที่พลเมืองคนหนึ่งพึงมี 

อีกทั้งยังอธิบายเพิ่มเติมในหลักการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งเสนอให้ลดอำนาจรวมศูนย์ของคนชั้นนำในกรุงเทพฯ ลง เพราะเชื่อว่า “…เพียงแค่รัฐยอมปล่อยอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการตัวเองบ้าง เพียงแค่จัดความสำคัญของการใช้งบประมาณแบบอื่น หรือใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เด็กๆ ทุกคนก็สามารถมีอาหารกลางวันกินได้ และมีรถโรงเรียนที่ปลอดภัยได้ กลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงสร้างปัจจุบัน นอกจากจะเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนเชื่อว่าตัวเองโง่แล้ว ยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเราเชื่ออีกว่า พวกเราเป็นคนส่วนน้อยของสังคม คนส่วนน้อยที่ต้องพอเพียงกับความจนเพื่อการพัฒนาของคนส่วนใหญ่...”

“…พวกเราคือ คนจนเมือง พวกเราคือ แรงงานนอกระบบส่วนน้อยที่ยอมเสียสละสิทธิ์ในการเข้าถึงสวัสดิการรัฐเพื่อรักษาวินัยทางการคลังของคนส่วนใหญ่…”

“…พวกเราคือ เกษตรกร , ชาวนาที่ยอมทำนาจนผิวไหม้เกรียม เส้นเอ็นปูดโปน เพื่อให้คนส่วนใหญ่มีกิน…”

“…พวกเราคือ กรรมกร กลุ่มคนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละยอมรับค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้คนส่วนใหญ่ส่งออกได้…”

“…พวกเราคือ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ คนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละสิทธิ์ในเพศสภาพตัวเอง เพื่อรักษาจารีตประเพณีของคนส่วนใหญ่…”

“…พวกเราคือ นักเรียน , นักศึกษาที่ต้องยอมเสียตัวตนของเราเพื่อรักษาระเบียบของคนส่วนใหญ่…”

“…พวกเราคือ กลุ่มคนชาติพันธุ์ที่ต้องเสียวิถีชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาป่าให้กับคนส่วนใหญ่…”

“…พวกเราถูกหลอกให้เชื่อว่า เราเป็นคนส่วนน้อย แต่ในข้อเท็จจริง พวกเราคือ คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยอมเสียสละให้คนส่วนน้อยเสมอมา คนส่วนใหญ่เหมือนคนที่ทำผิด เหมือนนักโทษที่ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนอยู่ในคุก และสิทธิ์เดียวที่ได้รับอนุญาตจากผู้คุมให้เรามี ก็คือ สิทธิ์ในการเลือกผู้นำนักโทษ...”

ความหวังของการทำพรรคการเมืองที่ธนาธรคาดหวังไว้ ก็คือ การส่งเสียงและสัญญาณไปถึงวิธีการทำการเมืองแบบเก่า ว่าพอกันทีสำหรับการเอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย และได้ชักชวนประชาชนคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมกันทำลายโซ่ตรวนที่พันธนาการความก้าวหน้าของสังคมออก ด้วยมือเปล่าๆ ของคนส่วนใหญ่ พรรคอนาคตใหม่จะทำการเมืองแบบใหม่ที่ไม่ใช้คำโกหก ไม่ใช้วิธีใส่ร้ายป้ายสีหรือการสาดโคลน หรือผลิตวาทกรรมเพื่อสร้างความแตกแยกและความเกลียดชัง เพื่อแบ่งแยกประชาชนออกจากกัน 

อุดมการณ์ของพรรคนั้น ต้องการสร้างสังคมแบบใหม่ที่เป็นการเมืองแห่งความหวัง “…เพราะสิ่งที่แบ่งแยกประชาชนอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ กลุ่มคนชั้นนำที่ได้ผลประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมแบบนี้ กับคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการลืมตาอ้าปาก คนส่วนน้อยที่ถือปืนและกดหัวประชาชนไว้ กับคนส่วนใหญ่ที่ถูกปิดหู ปิดตา และปิดปาก เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงการมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายน้ำของคนอยุธยาที่โดนน้ำท่วมปีละ 3 เดือน , เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งของชาวประมงพื้นบ้าน , เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงงานให้กับคนตกงาน ความหวังถึงบ้านให้กับคนที่ไม่มีบ้าน ความหวังถึงสังคมที่คนเท่ากันที่ ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ ไม่มีโอกาสได้เห็น…”

ทั้งนี้ธนาธรยังได้กล่าวกับผู้ที่มาเป็นสักขีพยานในการประชุมจัดตั้งพรรคว่า “…มาร่วมกันขยับประเทศไทย มาร่วมกัน disrupt การเมืองไทย เพื่อบอกว่า การเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนชั้นนำเพียงไม่กี่คน มันหมดไปแล้ว เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิ์และเสรีภาพที่พวกเขาพึงมีกลับคืนมา เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิ์ในการไขว้คว้าความฝันของตัวเองกลับคืนมา เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ และเริ่มทำทุกวัน ไม่ต้องรอใคร…”

“…สุดท้ายนี้ ถ้าความหวังของทุกท่าน เป็นความหวังเดียวกับของผม ผมอยากชักชวนทุกท่านให้มาร่วมกันสร้างพรรคนี้ให้เป็นพรรคของประชาชน ให้เป็นพรรคที่ยืนเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยกัน หยุดกลัว ลุกขึ้นยืนด้วยความกล้าหาญ และเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมอยู่ในสังคมนี้ร่วมกัน มาร่วมขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยหวังว่า เราจะสามารถส่งต่อสังคม ส่งต่อสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่มากขึ้นให้กับลูกหลานของเราต่อไป อย่างที่ครั้งหนึ่งพ่อกับแม่ผมเคยฝันและเคยทำให้ผม เพื่ออนาคตใหม่ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน...”

วิสัยทัศน์บนเวทีในวันนั้น เปรียบเสมือน เป็นการจุดไฟท่ามกลางสายฝน , เป็นอิฐก้อนแรกที่ก่อขึ้นเป็นกำแพง , เป็นคนจุดประกายไฟในกองฟืนที่เริ่มโรยราและรอวันมอดไหม้ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง , เป็นคนแรกที่พร้อมจะนำทุกคนวิ่งไปหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ถึงแม้ว่ามันจะมืดมิดและไม่รู้ว่าต้องวิ่งไปอีกไกลเท่าไหร่ ทั้งนี้ธนาธรได้ปลุกเร้าพลัง ความหวัง และความฮึกเหิมขึ้นในใจคน เพราะเชื่อว่า หากมีความมุ่งมั่นและมีศรัทธาที่แน่วแน่แล้ว การสร้างความหวังและกำลังใจให้กับคนส่วนใหญ่จะทำให้สังคมตื่นรู้ , ตาสว่าง และลุกขึ้นยืนตรง พร้อมที่จะเผชิญหน้าท้าทายกับรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างกล้าหาญ เพราะความหวังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ และเป็นสิ่งเดียวที่จะนำพาประชาชนให้มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ เพื่อร่วมสร้างอนาคตใหม่ด้วยกัน สำหรับลูกหลานคนไทยทุกคน

  

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net