เมื่อปีที่แล้ว (2552) ชายชาวกัมพูชาคนหนึ่ง ถูกทหารไทยยิงเสียชีวิตขณะเข้าไปหาของป่า ทางภาคประชาชนกัมพูชาจัดงานรำลึกที่อุดรมีชัย แต่ทางเจ้าหน้าที่รัฐไม่อนุญาตให้คนไทยร่วม ด้านครอบครัวผู้เสียชีวิตร้องขอความเป็นธรรม บอกไม่ได้โกรธเกลียดคนไทยและไม่อยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายขัดแย้งกัน
เมื่อวันที่ 2-3 ส.ค. ที่ผ่านมา องค์กรภาคประชาชนของกัมพูชาได้จัดงานนำเสนอผลจากโครงการแลกเปลี่ยนภาคประชาชนไทย-กัมพูชา ของเมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: รายงาน : บันทึกการเดินทางสู่กัมพูชา เข้าใจเขา-เข้าใจเรา) ในวันที่ 2
และตามกำหนดการในวันที่ 3 ส.ค. จะมีการทำพิธีให้คนในชุมชนแสดงความเห็นใจญาติผู้เสียชีวิต รวมถึงพิธีกรรมทางพุทธศาสนาพิธีทอดผ้าบังสุกุล ที่วัดสำโรง อำเภอสำโรง จังหวัดอุดรมีชัย (อุดอร์เมียนเจ็ย) ประเทศกัมพูชา
ทางผู้สื่อข่าวและภาคประชาชนบางส่วนจากประเทศไทยได้รับการติดต่อจากองค์กรของกัมพูชาให้สามารถเดินทางมาเข้าร่วมสังเกตการณ์ในพิธีได้ แต่พอเมื่อถึงพิธีการจริง ทางเจ้าหน้าที่ราชการของทางฝั่งกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนไทยเข้าร่วมในพิธีการ เนื่องจากความไม่ไว้ใจและกลัวว่าสื่อไทยจะนำเสนอภาพของกัมพูชาในทางไม่ดี ขณะที่ทางชาวบ้านให้การต้อนรับคนไทยและไม่ได้แสดงท่าทีหวาดระแวงแต่อย่างใด
พิธีกรรมในวันที่ 3 ส.ค. มีที่มาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2552 ที่มีชายชาวกัมพูชารายหนึ่งเข้าไปหาเก็บของป่าในเขตชายแดนแล้วถูกทหารฝั่งไทยยิงเสียชีวิต โดยที่ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบหรือการดำเนินการสืบสวนจากฝ่ายใด
ทางผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้สัมภาษณ์ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยผู้เสียชีวิตเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวชื่อ ซังรึด อายุ 16 ปี ขณะเสียชีวิต อาศัยอยู่กับครอบครัวคือนายซังยอน-ผู้เป็นพ่อ นางเนนครอม-ผู้เป็นแม่ และซังมยาน น้องสาวอายุ 14 ปี โดยก่อนหน้านี้ ครอบครัวพวกเขาอาศัยอยู่ในสำโรงโดยไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง ก่อนย้ายไปอยู่ที่ภูมิกรอยสะคอน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจัดสรรพื้นที่ในส่วนดังกล่าวไว้ให้
ครอบครัวของซังรึด มีอาชีพเกษตรกรรมและหาของป่า นางเนนครอม แม่ของนายซังรึดบอกว่าพวกเขามีพื้นที่ทำกินไว้ปลูกพวกฟักแฟงแตงกวาไว้กินเองไม่ได้ขายให้ใคร ขณะเดียวกันก็ไปขุดมัน ขุดหน่อไม้ หาไข่มดแดงในป่า ทางครอบครัวยังบอกอีกว่าหลังจากย้ายออกจากสำโรงลูกทั้ง 2 คนก็ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อ โดยซังรึดที่เสียชีวิตมีโอกาสได้ศึกษาถึงชั้นปีที่ 3 (ป.3) เท่านั้น
ครอบครัวพวกเขาทราบเหตุร้ายของลูกชายจากผู้เห็นเหตุการณ์ที่เข้าไปเก็บของป่าด้วยกันอีก 4-5 คน โดยพวกเขาเล่าว่า ซังรึดถูกทหารไทยยิงขณะที่กำลังจะเปิดห่อข้าวกิน หลังจากเขาถูกยิงแล้วยังไม่เสียชีวิต กลุ่มคนที่ไปด้วยกันก็พากันวิ่งหนีออกมา จนกระทั่งในวันต่อมาก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปพบศพของซังรึดถูกมัดมือไพล่หลังและถูกเผา ซึ่งคาดว่าเขาถูกทหารไทยเผาในขณะที่ยังไม่เสียชีวิต เนื่องจากหากเขาเสียชีวิตแล้วคงไม่จำเป็นต้องมัดมือมัดเท้า ซึ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์ก็บอกว่าพวกเขาไม่ทราบแน่ชัดว่าตอนนั้นพวกเขากำลังอยู่ในพรมแดนของไทยหรือกัมพูชา
ปกติซังรึด จะคอยช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง ทั้งทำไร่ทำนาและคอยช่วยถางป่าด้วยจอบ-เสียม ซังมยาน ผู้เป็นน้องสาว กล่าวด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาคลอขณะที่พูดถึงพี่ชาย เธอบอกว่ารู้สึกอยากให้พี่ชายกลับมาอยู่ด้วยกัน เนื่องจากเธอมีพี่ชายอยู่คนเดียว ขณะที่พ่อแม่เรียกร้องให้รัฐบาลของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา หาความยุติธรรมให้กับลูกชายที่เสียไป เนื่องจากพวกเขายังไม่ได้รับอะไรจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายเลย
ภาพถ่ายเมื่อปี 2008 จากการที่ครอบครัวนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนผู้ยากไร้จากองค์กรภาคประชาชนกัมพูชา ซ้ายมือสุดคือภาพของซังรึด ขณะที่ยังมีชีวิต
"ก็ไม่อยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายขัดแย้งกัน ฆ่าฟันกัน อยากจะให้อะลุ่มอะล่วย แล้วก็ปฏิบัติตามกฏที่ตกลงร่วมกัน" นายซังยอน พ่อของซังรึดกล่าว เมื่อมีการถามความเห็นเรื่องความสัมพันธ์ปัจจุบันระหว่างไทยกับกัมพูชา ขณะเดียวกันครอบครัวชาวกัมพูชาก็บอกว่าไม่ได้รู้สึกเกลียดชังคนไทย พวกเขาก็รักคนไทยเหมือนกัน เพราะมีญาติพี่น้องที่อยู่ฝั่งไทย
ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็คิดว่าจะยังเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรม โดยอาจมีการแถลงข่าวกับผู้สื่อข่าวต่างชาติในโอกาสต่อไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)