Skip to main content
sharethis

เรื่องราวการหายตัวไปของอับดุลเลาะห์ อาบุคารี ผู้ต้องหาคดีปล้นปืน ในฐานะพยานคดีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร จากคำบอกเล่าของแม่ กับความคืบหน้าที่พอจะเป็นความหวังของครอบครัวอยู่บ้าง หรือว่าเธอจะสูญเสียลูกชายไปอีกคนเหมือนกับที่เสียลูกชายหนึ่งคนไปแล้วในเหตุการณ์ตากใบ

มัสตะ เจะอูมา

เรื่องราวการหายตัวไปของอับดุลเลาะห์ อาบูคารี อายุ 25 ปี เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากสังคมอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เนื่องจากเขาคือพยานปากสำคัญในคดีซ้อมทรมานลูกความของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เพื่อให้รับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอกจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547

โดยเป็นคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเป็นคดีพิเศษ และได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนเอาผิดข้าราชการตำรวจรวม 14 นาย โดยเชื่อกันว่าการหายตัวอย่างปริศนาของทนายสมชายในเวลาต่อมา น่าจะเป็นผลจากการทำคดีดังกล่าว

ในขณะการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.ต่อตำรวจกลุ่มดังกล่าว น่าจะมีขึ้นในราวเดือนเมษายน 2553 นี้ ทำให้การหายตัวไปของอับดุลเลาะห์ น่าจะยิ่งถูกกล่าวถึงมากขึ้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับนายตำรวจหลายคนที่กำลังเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในขณะนี้

เช่นเดียวกับมาตรการในการคุ้มครองพยานที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้ในกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนว่า ดีพอหรือไม่ หรือเข้มงวดเกินจนผู้ถูกคุ้มครองรู้สึกอึดอัด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า อับดุลเลาะห์อาจรู้สึกอึดอัดและเบื่อจึงหนีกลับบ้าน แล้วนำมาสู่การหายตัวไป

แม้ขณะนี้ยังไม่พบตัวเขาก็ตาม แต่ล่าสุดก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ข่าวที่น่าจะเป็นความหวังสำหรับนางมัสตะ เจะอูมา แม่ของอับดุลเลาะห์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านโคกศิลา ตำบลกะลูวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเธอเปิดเผยว่า ได้กดโทรศัพท์ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของอับดุลเลาะห์ ลูกชายที่หายตัวไปได้แล้ว แต่ไม่มีผู้รับสาย แม้จะกดไปหลายครั้งแล้วก็ตาม

ด้วยเหตุดังกล่าว มัสตะจึงเชื่อว่าอับดุลเลาะห์ น่าจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะเหมือนกับจงใจให้โทร.ติด โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน แต่พอตกกลางคืนกลับโทร.ไม่ติด แม่ยังไม่รู้ว่าผู้ถือโทรศัพท์ปลายสายนั้น เป็นอับดุลเลาะห์หรือไม่

มัสตะ เล่าด้วยว่า ก่อนหน้าเมื่อประมาณวันที่ 22 มกราคม 2553 พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาที่บ้านเพื่อเยี่ยมเยือนให้กำลังใจหลังจากอับดุลเลาะห์หายตัวไป เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการคุ้มครองพยานของดีเอไอ

ครั้งนั้น พ.อ.ปิยะวัฒก์ บอกว่า ตรวจสอบหลายเลขโทรศัพท์แล้วพบว่า สัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่อยู่ตอนบนของประเทศ แต่เธอก็ไม่ได้ถามต่อว่าอยู่ที่จังหวัดไหน

อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังเชื่อว่าการหายตัวไปของอับดุลเลาะห์ น่าจะเป็นการถูกอุ้มไปโดยบุคคลบางกลุ่ม ถึงแม้ว่ามีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการหายตัวไปเองของอับดุลเลาะห์และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีกับตำรวจหลายนายที่ซ้อมทรมานเขาก็ตาม

“หนึ่งวันหลังจากเขาหายตัวไป ทำไมถึงเจอรถจักรยานยนต์ที่เขาขับไปคืนนั้นห่างจากบ้านที่เขาหายตัวไป คือบ้านบือแจง หมู่ที่ 4 ตำบลบองอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ไปถึง 15 กิโลเมตร มีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่อยู่หลายแห่ง แล้วทำไมจึงไม่มีใครเห็นเลย เขาจะไปที่ไหนถ้าไม่มีใครเอาตัวไป”

มัสตะเล่าต่อว่า ตอนนี้รู้สึกเหมือนไปไม่พ้น จะไปไหนก็ไม่ได้ จะทำงานก็ไม่ได้ เพราะเป็นห่วงอับดุลเลาะห์ ต้องการให้เขากลับมา ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อยากให้อับดุลเลาะห์กลับมา

“มันต่างจากการเสียลูกชายอีกคนในเหตุการณ์ตากใบ เพราะรู้ชัดเจนว่าตายไปแล้ว”

 

เธอหมายถึงเด็กชายมูฮำหมัดซับรี อาบูคารี ที่เสียชีวิตระหว่างถูกขนย้ายผู้ชุมนุมจากหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธิบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เมื่อช่วงเดือนตุลาคม ปี 2547 ซึ่งตอนนั้นมูฮำหมัดซับรี มีอายุเพียง 14 ปี หรือเธอจะต้องเสียอับดุลเลาะห์ไปอีกคนหรือไม่ จากจำนวนลูกชายและลูกสาวทั้งหมด 7 คน

มัสตะ เล่าต่อว่า อับดุลเลาะห์ถูกจับคดีปล้นปืนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2547 เขาถูกจับที่บ้านบือแจง ซึ่งเป็นบ้านของเมีย แล้วก็ถูกควบคุมตัว 85 วัน จนกระทั่งถูกปล่อยตัวกลับมาโดยการช่วยเหลือของทนายสมชาย นีละไพจิตร โดยวันที่เขาถูกจีบลูกคนเล็กอายุเพียง 15 วันเท่านั้น

จากนั้นกลับมาอยู่บ้านนานกว่า 2 ปี ก็อยู่อย่างปกติ ทำงานก่อสร้าง กรีดยาง จนกระทั่งเมื่อประมาณ 3 ปีกว่าที่ผ่านมา อับดุลเลาะห์ก็ขอไปอยู่กรุงมหานคร โดยอยู่ในการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ หลังจากเขายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มตำรวจที่ซ้อมทรมานเขากับพวก ระหว่างถูกควบคุมตัวหลังจากถูกจับในคดีปล้นปืน

“ช่วงที่อยู่ระหว่างการคุ้มครองพยานที่กรุงเทพมหานคร ทางบ้านสามารถไปเยี่ยมได้ เพราะพักอยู่ที่โรงแรม จะไปหนก็ได้ แต่จะทำงานไม่ได้ และมีคนดูแลอยู่ตลอด วันที่ไปเยี่ยมก็ไปกันทั้งพ่อ แม่ และเมียกับลูกเขาด้วย อับดุลเลาะห์ ไม่เคยบ่นว่าเบื่อ แต่ไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีปัญหาอะไรบ้าง”

“ปีแรกที่อยู่ในการคุ้มครองของดีเอสไอ อับดุลเลาะห์กลับมาที่บ้าน 1 ครั้ง ปีต่อๆมา กลับมาบ้าน 2 – 3 ครั้ง ตอนกลับมาที่บ้านไม่มีคนตามมาดูแล ส่วนครั้งนี้อับดุลเลาะห์ได้ขออนุญาตจากดีเอสไอเพื่อกลับบ้านหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เวลากลับมาที่บ้านอับดุลเลาะห์จะมาที่บ้านแม่ที่บ้านโคกศิลาก่อน แล้วจึงไปที่บ้านภรรยา”

“ตอนอยู่ระหว่างคุ้มครองพยานที่กรุงเทพมหานคร อับดุลเลาะห์เคยหย่ากับเมียมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่แม่บอกอย่าหย่า เพราะสงสารลูกทั้ง 2 คน คือ ด.ญ.อาซูรา อาบูคารี อายุ 7 ขวบ กับ ด.ช.อัยดิลอัฎฮา อาบูคารี อายุ 6 ขวบ ก็เลยทำพิธีแต่งงานใหม่ แล้วก็ไม่รู้ว่าอับดุลเลาะห์กับเมียเคยทะเลาะกันหรือไม่”

แต่ร่องรอยความระหองระแหงที่เกิดขึ้นนั้น ก็ยังไม่อาจฟันธงได้ว่านำไปสู่การหายตัวไปครั้งนี้ด้วยหรือไม่ อย่างที่คนในครอบครัวมัสตะบางคนเชื่อ เมื่อเจะรอฮานี ยูโซ๊ะ ภรรยาของอับดุลเลาะห์ ซึ่งให้สัมภาษณ์กับสถาบันข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยก่อนหน้านี้ เล่าถึงเรื่องราวการหายตัวของสามีไปจากบ้านเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมาว่า  

"สามีของฉันกลับมาบ้านช่วงเทศกาลรายอที่ผ่านมา จำได้ว่าเป็นวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และมักจะออกไปกินน้ำชาที่ร้านในหมู่บ้านแทบทุกคืน” เจะรอฮานี เริ่มเล่าเมื่อเราถามถึงต้นสายปลายเหตุการณ์หายตัวไปของสามีเธอ

“กระทั่งมาถึงคืนเกิดเหตุ ประมาณทุ่มกว่า หลังจากที่แฟนละหมาดตอนหัวค่ำเสร็จก็ออกไปร้านน้ำชาซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแค่ 150 เมตรเท่านั้น จำได้ว่าเขาใส่เสื้อเชิ้ตสีม่วง และนุ่งผ้าโสร่ง ขับรถฮอนด้าเวฟ สีดำ ป้ายทะเบียน กคข 881 นราธิวาส ออกไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ”

“นอกจากโทรศัพท์ แฟนไม่ได้เอาอะไรไปเลยแม้แต่กระเป๋าเงิน จากนั้นประมาณ 2 ทุ่มกว่าก็ได้ยินเสียงรถของแฟนขับผ่านหน้าบ้าน แล้วได้ยินเสียงบีบแตร 3 ครั้ง ตามด้วยเสียงดังคล้ายเสียงปืน ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากทางด้านไหนเพราะเป็นตอนกลางคืน ก็เลยเอาโทรศัพท์ของตัวเองโทร.หาแฟน เบอร์แรกไม่ติด กดอีกเบอร์หนึ่งก็ไม่ติดอีก ตอนนั้นฉันก็เริ่มกระวนกระวายแล้ว”

เจะรอฮานี เล่าว่า เธอรอสามีตลอดคืน แต่เขาก็ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย...

“ฉันจะนอนก็นอนไม่หลับ เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง แฟนก็ยังไม่กลับมา พยายามกดโทรศัพท์โทร.หาก็ไม่ติด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร โดยปกติเวลาเขาออกไปข้างนอกตอนกลางคืน มักจะกลับบ้านราวๆ 3 ทุ่ม ไม่เกิน 4 ทุ่มทุกครั้ง แต่คืนนั้นนั่งกดโทรศัพท์ตลอดทั้งคืนก็ติดต่อไม่ได้ และเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย”

จากกลางคืนถึงรุ่งเช้า เจะรอฮานี ตัดสินใจไปบอกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านก็ประสานกับฝ่ายทหารในพื้นที่เพื่อให้รับทราบเรื่องที่เกิด ขึ้น และช่วยกันออกค้นหา

“กระทั่งบ่าย ผู้ใหญ่บ้านโทร.กลับมาบอกว่า ทหารแจ้งว่าเจอรถลักษณะคล้ายกับรถที่แฟนขับออกจากบ้าน จึงเอาไปไว้ที่ฐานของทหาร ฉันกับผู้ใหญ่บ้านก็ตามไปดู ปรากฏว่าเป็นรถของแฟนจริงๆ ตรวจดูรถก็ไม่พบร่องรอยขีดข่วนหรือเสียหายอะไร จึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.อ.ระแงะ แล้วก็รอฟังข่าวจนกระทั่งวันนี้”

เจะรอฮานี เผยความรู้สึกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่อง เธอเครียดจนไม่สามารถอยู่ที่บ้านต่อไปได้ เพราะตั้งแต่สามีต้องไปเป็นพยาน ก็อยู่กับแม่และลูกๆ แค่ 4 คนมาตลอด

“เวลามีเรื่องอะไรฉันก็จะคุยกับกับแม่ ยิ่งคุยก็ยิ่งเครียด จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้านน้า เพราะมีญาติอยู่รวมกันอีกหลายคน บางทีก็ช่วยกันออกความเห็นบ้าง หรือบางครั้งก็คุยกันเรื่องอื่นบ้าง ทำให้คลายเครียดไปได้พอสมควร ไม่ต้องคุยแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว”

เธอบอกอีกว่า แม้ที่ผ่านมาสามีต้องไปอยู่กรุงเทพฯ (ภายใต้มาตรการคุ้มครองพยาน) นานหลายปี แต่ก็ยังติดต่อกันได้ จึงไม่รู้สึกเครียดเหมือนขณะนี้

“ตั้งแต่แฟนขึ้นกรุงเทพฯ ฉันก็อยู่ที่บ้านบือแจงมาตลอด เราโทรศัพท์คุยกันทุกวัน รู้ว่าเขาสบายดีเราก็สบายใจ แต่นี่หายไปไหนไม่รู้ เมื่อก่อนตอนเขาจะกลับบ้าน เขาจะโอนเงินมาให้บ้าง กลับมาก็จะมาอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์แล้วก็ไป”

เรื่องราวของอับดุลเลาะห์ อาบูคารี น่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะในทางคดีที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาแล้ว ทั้งคดีปล้นปืน คดีการหายตัวไปของทนายสมชาย คดีซ้อมทรมาน เป็นต้น มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่นำไปสู่การหายตัวไปครั้งนี้หรือไม่ น่าติดตาม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net