Skip to main content
sharethis

 



 


สถานการณ์ ณ ค่ำคืนก่อนเช้าวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ดูเหมือนไม่น่าไว้วางใจ เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 100 นาย ปักหลักยึดพื้นที่อยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า สถานที่นัดหมายของการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


 


ทำไมจึงต้องบอกว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ


 


เพราะราวบ่ายของวันที่ 10 กุมภาพันธ์กลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ขับรถแท็กซี่และรถตู้ รวมพลที่สนามหลวงเพื่อเดินไปสำนักงานเครือผู้จัดการ "ท่าพระอาทิตย์" เพื่อยื่นหนังสือต่อสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในเหตุผลของม็อบรถตู้+แท็กซี่คือ


 


"การประกาศเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมกดดันภายหลังจากถวายฎีกาเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากขณะนี้ฎีกาที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถวายนั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการตามระเบียบเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย


 


"ในนามของกลุ่มพสกนิกรผู้จงรักภักดีจึงขอคัดค้านการชุมนุม การเคลื่อนไหว หรือการดำเนินการใดๆ เพื่อให้มีการชุมนุมขึ้นในวันที่ 11 ก.พ. และวันอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยด้วยอิสระ ปลอดจากแรงกดดันใดๆ เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง"


 


น่าสนใจก็ตรงที่ผู้สื่อข่าวของผู้จัดการรายงานว่า ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะเดินทางมายังหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการนั้น ขณะที่ปักหลักกันที่ท้องสนามหลวง มีการกล่าวโจมตีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเผ็ดร้อน แต่ทว่าเมื่อมาถึงหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กลับเปลี่ยนท่าทีไป โดยขึ้นอภิปรายบนรถซึ่งเป็นเวทีเคลื่อนที่อย่างสุภาพ


 


แน่นอนแม้ข่าวนี้จะมาจากสำนักพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งอย่างไรเสียจะมากจะน้อยก็ต้องมีความโน้มเอียงต่อการนำเสนอข่าว แต่รายงานข่าวนี้พิจารณาจากผลของข่าว ไม่มีอะไรน่าสงสัยในข้อเท็จจริง ทว่าระหว่างบรรทัดของข่าวนี้ ได้บอกนัยของม็อบครั้งนี้ว่า เป็นม็อบที่เตรียมการและ "จัดตั้ง" มาอย่างดีเพื่อการกำราบ แสดงพลังของทักษิณมากกว่าจะเกิดหรือปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ


 


ไม่ใช่เรื่องปกติวิสัย ที่ม็อบที่ผ่านการปลุกเร้ามาอย่างดีจะลดดีกรีจนเหลือแต่ความสุภาพ นอกเสียจากรู้ว่า หากปล่อยให้การปลุกเร้าเยี่ยงนั้นเกิดขึ้นหน้าสำนักงานผู้จัดการ "อะไรก็เกิดขึ้นได้"


 


ความน่ากังวลยังอยู่ที่การผูกโยงเรื่องนี้ให้เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่การชุมนุมในวันที่ 11 ก.พ. เป็นกลุ่มที่มีจุดยืนชัดเจนที่จะไม่นำการขับไล่นายกรัฐมนตรีไปเกี่ยวข้องกับเบื้องสูง และเป็นเหตุผลที่ทำให้องค์กรพันธมิตรนี้ฯ ไม่เข้าร่วมกับการชุมนุมของสนธิตั้งแต่แรก


 


ดีที่ว่า ประเด็นนี้ไม่ได้รับการขานรับจากสื่อมากเท่าไร กระแสเรื่องนี้จึงไม่ขึ้น สถานการณ์ที่จะปลุกปั่นยุยงจึงเบาใจไปได้ระดับหนึ่ง


 


ก็เหลือแต่การยุยงที่มาจากนายกฯ ด้วยการห้ามใช้ลานพระบรมรูปฯ เป็นที่ชุมนุมด้วยเหตุผลที่ผุดขึ้นมาว่าเป็น "เขตพระราชฐาน" ทั้งๆที่ ก่อนวันที่ 4 ก.พ.ไม่มีเหตุผลนี้ปรากฏขึ้นเลย


 


แม้เราจะคิดเข้าข้างนายกฯแล้วว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความรุนแรง เป็นแต่เพียง ปากพาไปหรือ "นิสัยส่วนตัว" จริงๆ ทว่าผลที่เกิดขึ้นก็คือการไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ยึดลานพระบรมรูปฯ


 


โปรดเข้าใจด้วยว่า ท่ามกลางสภาพการณ์ของการเผชิญหน้าระดับมวลชนนี้ "การไม่มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตอบโต้" นั้นแตกต่างคนละเรื่องเดียวกับ "การมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ห้ามตอบโต้อย่างเด็ดขาด" และประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเจ้าหน้าที่หรือระดับผู้บังคับบัญชาแน่ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องรู้และรับผิดชอบ ในฐานะที่การชุมนุมนั้นคือสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ที่รัฐต้องปกป้องดูแล


 


นั่นหมายความว่า หากเกิดกรณีความรุนแรง ไม่ว่าจากกรณีใดๆ รัฐไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบพ้น ซึ่งแทบจะมีความหมายว่า ความรุนแรงที่อาจจะมีขึ้นจะมีก็แต่จากฝ่ายรัฐเป็นผู้กระทำให้เกิดเท่านั้น ไม่ว่าจะตรงหรืออ้อม


 


อย่างไรก็ตาม ระดับนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจความซับซ้อนของกลไกการเงินการลงทุน เข้าใจเรื่องภาษีที่คนธรรมดาอย่างเราแม้แต่จะกรอกแบบแสดงการเสียภาษีก็แทบจะทำไม่เป็น มีหรือจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ หรือมีหรือที่จะไม่รู้ว่า การห้ามการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ นั้นมีผลเท่ากับการยั่วยุ


 


แต่ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยังคงห้าม ซึ่งเท่ากับไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ปกป้องพื้นที่


 


ทำไมจึงยังคงห้าม ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่า การชุมนุมวันที่ 11 ก.พ. จะไม่มีทางยืดเยื้อ เพราะผู้นำการชุมนุมไม่ประสงค์จะยืดเยื้อ อันเนื่องมาจากต่างก็ประเมินได้ว่า ยังไม่ใช่สถานการณ์สุกงอม


 


ทำไมจึงยังคงห้าม ทั้งๆ ที่เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ก็ชุมนุมได้อย่างสงบสันติ แล้วส่งผลดีทั้งทางตรงทางอ้อมกับรัฐบาลมากกว่า


 


หากไม่เป็น "อัลไซเมอร์" หรือสูญเสียสมรรถภาพในการวิเคราะห์ ก็อาจจะต้องมีเงื่อนไขปัจจัยอะไรบางอย่างที่ "คนธรรมดา" ระดับเราไม่รู้


 


อย่างไรก็ตาม ยังคงเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะต้องรู้ว่า ความไม่สงบเกินความควบคุมจะมีผลเท่ากับอายุของรัฐบาล ไม่ว่าจะเพราะหมดความชอบธรรม หรือเพราะมีปัจจัยฉวยโอกาสอื่นๆ


 


มาถึงตรงนี้ ขอจบห้วนๆ ได้ไหมว่า หวังว่างานนี้จะไม่มีใครถูกหลอกให้ต้องเป็นเหยื่อ และที่สุดของที่สุดคือหวังว่าจะไม่มีใครต้องเสียเลือดสักหยด


 


แต่เอ๊ะ! ทำไมนายกฯ ถึงลงใต้ หรือพื้นที่ตรงนั้นอยู่ในส่วนของแผน "ปลอดภัยไว้ก่อน"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net