Skip to main content
sharethis


เมื่อวันที่ 9 มี.ค.52  ชาวบ้านหลายพื้นที่ในจังหวัดระยองและเครือข่ายในจังหวัดอื่นๆ ออกจดหมายเปิดผนึกถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและรัฐบาล โดยประณามการให้ข่าวบิดเบือน ขาดหลักฐาน และไม่สร้างสรรค์ของสภาอุตฯ กรณีคำพิพากษาของศาลปกครองระยองให้มาบตาพุดและบ้านฉางเป็นเขตควบคุมมลพิษ โดยทางสภาอุตฯ ระบุว่า โรงงานใหญ่ๆ ทำตามมาตรฐานมลพิษอย่างเข้มงวดและลงทุนปรับลดมลพิษไปมากแล้ว แต่คำพิพากษาของศาลปกครองระยองยังชี้ว่าปัญหามลพิษยังไม่มีแนวโน้มลดลง กลับมากขึ้นกว่าเดิม แถลงการณ์จึงชี้ถึงการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติที่ระบุว่า การเกิดโรคมะเร็งทุกชนิดและมะเร็งเม็ดเลือดขาวของอำเภอเมือง สูงกว่าอำเภออื่นๆ เป็น 3 เท่าและ 5 เท่า

ส่วนกรณีที่สภาอุตฯ ระบุว่า แผนลดและขจัดมลพิษที่ท้องถิ่นจัดทำอาจไม่เป็นที่ยอมรับหรือผิดแปลกไปจากปัจจุบัน ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความรู้สึกของนักลงทุนนั้น ชาวบ้านระบุว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2535 มาตรา 37 ระบุอยู่แล้วว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะรวมแผนลดและขจัดมลพิษที่ท้องถิ่นจัดทำเข้าในแผนสิ่งแวดล้อมจังหวัดและเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ


ประเด็นที่สภาอุตฯ อ้างว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะกระทบต่อการลงทุนให้หยุดชะงักและย้ายฐานการลงทุนไปประเทศอื่น ชาวบ้านระบุว่าก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยการวิเคราะห์การเติบโตทางเศรษฐกิจของ 12 จังหวัดที่ประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษแล้ว ไม่กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด ในบางกรณี เช่น สมุทรปราการและสระบุรี เศรษฐกิจเติบโตสูงกว่าก่อนประกาศเขตควบคุมมลพิษ ในขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ไม่ยอมแสดงข้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้แต่อย่างใด ได้แต่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยมาหลายปีแล้ว


ในท้ายแถลงการณ์ยังข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คือ ให้ผู้ที่ออกมาให้ข่าวและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะ หากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยืนยันว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษในกรณีจังหวัดระยองจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ให้แสดงข้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้ออกมา และเสนอให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมุ่งเน้นการลดปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนที่ปรากฏอยู่จริงในพื้นที่ มากกว่าที่จะกล่าวอ้างแต่เรื่องการทำตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม


 






จดหมายเปิดผนึกถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและรัฐบาล


แถลงการณ์ประณามการให้ข่าวที่บิดเบือน ขาดข้อมูลหลักฐาน เห็นแก่ตัว และไม่สร้างสรรค์


กรณีคำพิพากษาของศาลปกครองระยองให้มาบตาพุดและบ้านฉางเป็นเขตควบคุมมลพิษ


วันที่ 9 มีนาคม 2552


 


            ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2552 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสายงานอุตสาหกรรม นายศุภชัย วัฒนางกูร ประธานกลุ่มปิโตรเคมี นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และนายสุวิทย์ ชื่นปิยะวาจา ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง


โดยอ้างว่า โรงงานใหญ่ๆ ทำตามมาตรฐานมลพิษอย่างเข้มงวดและลงทุนปรับลดมลพิษไปมากแล้ว แต่คำพิพากษาของศาลปกครองระยองชี้ว่า ปัญหามลพิษยังไม่มีแนวโน้มลดลง ตรงกันข้ามกลับมากขึ้นกว่าเดิม โดยดำเนินการแก้ไขปัญหามานานแล้ว แต่ยังไม่สามารถควบคุมและขจัดมลพิษได้ โดยการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติชี้ว่า การเกิดโรคมะเร็งทุกชนิดและมะเร็งเม็ดเลือดขาวของอำเภอเมือง สูงกว่าอำเภออื่นๆ เป็น 3 เท่าและ 5 เท่า


อ้างว่าแผนลดและขจัดมลพิษที่ท้องถิ่นจัดทำอาจไม่เป็นที่ยอมรับหรือผิดแปลกไปจากปัจจุบัน ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความรู้สึกของนักลงทุน แต่ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2535 มาตรา 37 ระบุว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะรวมแผนลดและขจัดมลพิษที่ท้องถิ่นจัดทำเข้าในแผนสิ่งแวดล้อมจังหวัดและเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ


อ้างว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะกระทบต่อการลงทุนให้หยุดชะงักและย้ายฐานการลงทุนไปประเทศอื่น แต่การวิเคราะห์การเติบโตทางเศรษฐกิจของ 12 จังหวัดที่ประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษแล้ว ไม่กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด ในบางกรณี เช่น สมุทรปราการและสระบุรี เศรษฐกิจเติบโตสูงกว่าก่อนประกาศเขตควบคุมมลพิษ ในขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ไม่ยอมแสดงข้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้แต่อย่างใด ได้แต่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยมาหลายปีแล้ว


อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประสบปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ตั้งแต่ก่อนการตัดสินของศาลแล้ว โดยข้อมูลทางธุรกิจแสดงว่า การส่งออกผลิตภัณฑ์และราคาหุ้นลดลงมาก ตัวอย่างเช่น บมจ.ปตท. ประกาศปรับแผนการลงทุนแล้ว แต่เมื่อมีคำพิพากษาศาลปกครองระยองออกมา กลับใช้เป็นแพะรับบาป ประกาศทบทวนและชะลอการลงทุนทันที ทั้งมีกระแสว่าจะอ้างปลดคนงานอีกด้วย


ยิ่งไปกว่านั้น มาตรการลดและขจัดมลพิษ เช่น เทคโนโลยีสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพและอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานหมุนเวียน สร้างการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในสัดส่วนที่สูงกว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ น่าสังเวช ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยึดติดกับผลประโยชน์ส่วนตนจากการพัฒนาอุตสาหกรรมสกปรกและอันตรายที่หนีจากประเทศอื่นมาทำลายบ้านเรามาหลายสิบปี จนคิดไม่ออกและยอมรับไม่ได้กับเส้นทางการพัฒนาที่สะอาด พอเพียง และยั่งยืน แต่ยังดื้อดึงที่จะฉุดลากสังคมไทยให้อยู่ในเส้นทางการเบียดเบียนที่ไม่สิ้นสุดเช่นนี้ต่อไป


อ้างว่า จะกระทบการท่องเที่ยวและผักผลไม้จังหวัดระยองจะขายไม่ได้ แต่พื้นที่ซึ่งประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษแล้ว เช่น พัทยา ชะอำ หัวหิน ภูเก็ต หมู่เกาะพีพี หาดใหญ่ ปทุมธานี นนทบุรี และนครปฐม ไม่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการขายผลิตผลการเกษตรและประมงแต่อย่างใด


อ้างว่า ให้ทุเลาบังคับใช้ประกาศเขตควบคุมมลพิษ และตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมา ศึกษาผลกระทบ เพราะจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งการศึกษานี้จะต้องใช้เวลานาน แต่การประเมินศักยภาพการรองรับมลพิษในพื้นที่มาบตาพุด ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติปี 2541 ดำเนินการจนถึงปัจจุบันมากกว่าสิบปีแล้ว หน่วยงานอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมที่รับผิดชอบ ยังไม่สามารถสรุปผลการศึกษาได้ว่ามลพิษเต็มศักยภาพหรือยัง ในขณะที่โรงงานสร้างเพิ่มขึ้นแล้วมากกว่า 100 โครงการในช่วงระหว่างทำการศึกษา


            ประชาชนชาวมาบตาพุดและบ้านฉาง และเครือข่ายบุคคลองค์กรที่ร่วมลงชื่อ มีความเห็นว่า การให้ข่าวที่มีลักษณะบิดเบือนจากกฎหมายและข้อเท็จจริง ปราศจากข้อมูลหลักฐานสนับสนุน มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่สาธารณชน ภาคเอกชนทั่วไป และรัฐบาล แสดงถึงความไม่เคารพต่อหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล และหลักความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อสังคม


ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีดังนี้


1.    ให้ผู้ที่ออกมาให้ข่าวและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะ โดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขป้องกัน โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษที่เริ่มเข้าไปดำเนินการในพื้นที่แล้ว


2.    หากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยืนยันว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษในกรณีจังหวัดระยอง จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งตรงกันข้ามกับทั้ง 12 จังหวัดก่อนหน้านี้ ให้แสดงข้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้ออกมา เพื่อให้เกิดการตรวจสอบกันในสังคมและนำไปสู่การตัดสินใจของรัฐที่อยู่บนฐานของข้อมูลและความรู้ มิใช่การกล่าวอ้างความรู้สึกอย่างเลื่อนลอยแล้วใช้ตัวเลขการลงทุนแสนล้านมาบังหน้า


3.    รัฐบาลต้องตรวจสอบข้อมูลหลักฐานและข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านและเปิดโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชน ก่อนการตัดสินใจอุทธรณ์หรือการตัดสินใจแนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาในอนาคต โดยไม่หลงเชื่อคำกล่าวอ้างที่ไม่มีข้อมูลหลักฐานของภาคธุรกิจอุตสาหกรรม


4.    ให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมุ่งเน้นการลดปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนที่ปรากฏอยู่จริงในพื้นที่ มากกว่าที่จะกล่าวอ้างแต่เรื่องการทำตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ทั้งปัญหาพื้นที่อุตสาหกรรมทับซ้อนชุมชนรอบมาบตาพุดและไม่มีพื้นที่กันชน โรงงานติดกับวัด โรงเรียน และบ้านเรือนของประชาชน ปัญหาจากการใช้น้ำบ่อตื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนักเนื่องจากยังไม่มีประปา  ปัญหาอุบัติภัยสารเคมี ซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และปัญหาการเจ็บป่วยของชาวบ้าน


5.    ให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและภาคเอกชน ตระหนักถึงประโยชน์และโอกาสที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว เกษตรกรรมและประมง เทคโนโลยีสะอาด การอนุรักษ์พลังงาน พลังงานหมุนเวียน ฯลฯ ซึ่งสามารถสร้างงานและพัฒนาเศรษฐกิจในสัดส่วนที่มากกว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่


 















ชาวบ้านมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง


ชาวบ้านบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง


เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก


กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


มูลนิธินโยบายสุขภาวะ


กลุ่มอนุรักษ์ทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


เครือข่ายประชาชนต่อต้านโรงไฟฟ้า 4 พื้นที่ ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.สระบุรี และ จ.ชุมพร



 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net