Skip to main content
sharethis

ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ สรุปรายงานอนุฯ ศึกษารูปแบบเลือกตั้ง สสร. ต่อสภาฯ ย้ำสภาร่างรัฐธรรมนูญต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เปิดโมเดลหลากหลายให้สังคมร่วมพิจารณา ตอบโจทย์เรื่องความเชี่ยวชาญ-ความหลากหลายได้ภายใต้กรอบที่ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 

31 ม.ค. 2567 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้ (31 ม.ค.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณารายงานผลการศึกษา เรื่อง “การจัดทำข้อเสนอระบบการเลือกตั้งและแนวทางการทำงานของสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง” โดยคณะอนุกรรมาธิการฯ ภายใต้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน 

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้เป็นผู้อภิปรายสรุปเนื้อหาในรายงานดังกล่าว โดยระบุว่า คณะอนุกรรมาธิการเห็นว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีทั้งความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เปิดกว้างต่อความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย และมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกกลุ่มมากที่สุด หากถูกร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการ “เลือกตั้งทั้งหมด” ซึ่งไม่ได้เป็นแนวคิดใหม่ แต่ถูกเสนอโดยหลายฝ่ายทางการเมืองและภาคประชาชนตั้งแต่ปี 2562 หรือหากมองไปนอกประเทศ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งก็ถูกใช้ในหลายประเทศทั่วโลกที่เป็นประชาธิปไตย และมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว วัตถุประสงค์ของคณะอนุกรรมาธิการฯ จึงเป็นการจัดทำข้อเสนอเพื่อเปิดจินตนาการให้เห็นถึงทางเลือกที่แตกต่างหลากหลายในการออกแบบ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด

พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า กรอบคิดหลักในการออกแบบ สสร. ควรเริ่มต้นด้วยการมองว่า สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องมีประเภทเดียว แต่อาจประกอบด้วย สสร. ที่แบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ สสร. มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย และมีพื้นที่ให้กับคนจากหลากหลายกลุ่มมาทำงานร่วมกันได้อย่างผสมผสาน โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งอาจแบ่งออกได้มากที่สุดเป็น 3 ประเภทหลัก ประกอบด้วย ก) สสร. ประเภทตัวแทนพื้นที่หรือตัวแทนทั่วไป ข) สสร. ประเภทตัวแทนผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ และ ค) สสร. ประเภทตัวแทนกลุ่มความหลากหลาย ที่ล้วนต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด

ก) สสร. ประเภทตัวแทนพื้นที่หรือตัวแทนทั่วไป มี 3 โจทย์หลักที่ต้องพิจารณาในการออกแบบ ประการแรก “จะกำหนดพื้นที่อะไรเป็นเขตเลือกตั้ง” หากใช้จังหวัดหรือพื้นที่ที่เล็กกว่าจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง สสร. ก็จะมีตัวแทนที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ในทุกจังหวัด หรือหากใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ก็จะทำให้ สสร. มีตัวแทนที่ครอบคลุมหลายประเด็นมากขึ้น หรืออาจมี สสร. ตัวแทนพื้นที่มากกว่าประเภทเดียว เช่น ครึ่งหนึ่งอาจจะเป็น สสร. ที่เลือกกันในระดับจังหวัด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอาจจะเป็น สสร. ที่ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง เป็นต้น

โจทย์ประการต่อมาคือ “จะกำหนดจำนวน สสร. ต่อ 1 เขตเลือกตั้งอย่างไร” จะมีจำนวน สสร. เท่ากันในทุกจังหวัด หรือจะมีจำนวน สสร. ในแต่ละจังหวัดที่ต่างกันตามสัดส่วนประชากร เพื่อให้น้ำหนักหรือจำนวนประชากรต่อ สสร. หนึ่งคนมีค่าเท่ากันในทุกพื้นที่ และประการสุดท้าย “จะใช้วิธีใดในการเลือก สสร. ในแต่ละเขตเลือกตั้ง” โดยในกรณีที่ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครเป็นรายบุคคล ทางคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้เสนอวิธีการเลือกตั้ง 5 ทางเลือก ได้แก่

(1) ระบบ Single Non-Transferable Vote หรือ SNTV คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนเลือกผู้สมัครได้ 1 คน ไม่ว่าเขตเลือกตั้งนั้นจะมีจำนวน สสร. ที่จะได้รับเลือกตั้งกี่คน 
(2) ระบบ Multiple Non-Transferable Vote หรือ MNTV คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนเลือกผู้สมัครได้มากเท่ากับจำนวน สสร. ที่จะได้รับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น เช่น หากเขตเลือกตั้งมี สสร. 3 คน ประชาชนจะเลือกผู้สมัครได้มากสุด 3 คน
(3) ระบบ Approval Vote คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนเลือกผู้สมัครกี่คนก็ได้ที่ตนพร้อมให้การอนุมัติ เช่น หากเขตเลือกตั้งมี สสร. 3 คน ประชาชนจะเลือกอนุมัติผู้สมัคร 1 คน 3 คน หรือ 10 คนก็ได้
(4) ระบบ Single Transferable Vote คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนสามารถเรียงลำดับผู้สมัครตามความชอบ โดยหากผู้สมัครที่ตนเลือกเป็นอันดับ 1 ได้รับคะแนนน้อยมาก และยังไม่มีผู้สมัครคนใดชนะขาด ระบบก็จะมีวิธีในการโอนคะแนนดังกล่าวไปให้กับผู้สมัครที่ตนเลือกเป็นอันดับ 2 หรืออันดับถัดไป เพื่อไม่ให้คะแนนเสียงตกน้ำ
(5) ระบบ Score Vote คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนสามารถให้คะแนนผู้สมัครตามลำดับความชอบ เช่น ให้ 3 คะแนนกับผู้สมัครที่ชอบเป็นลำดับที่ 1 ให้ 2 คะแนนกับผู้สมัครที่ชอบเป็นลำดับที่ 2 และให้ 1 คะแนนกับผู้สมัครที่ชอบเป็นลำดับที่ 3

หรือหากจะกำหนดให้ประชาชนเลือกผู้สมัครเป็นทีมหรือบัญชีรายชื่อ ทางคณะอนุกรรมาธิการฯ ก็ได้เสนอวิธีการเลือกตั้ง 2 ทางเลือก ได้แก่
(1) ระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด (Closed Party-List) คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคนเลือกได้ 1 ทีม โดยจำนวน สสร. ที่แต่ละทีมได้จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนคะแนนที่ทีมได้ และผู้สมัครที่จะได้รับเลือกตั้งขึ้นอยู่กับลำดับบัญชีรายชื่อที่ทางทีมได้จัดสรรไว้
(2) ระบบบัญชีรายชื่อแบบเปิด (Open Party-List) คือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคน เลือกได้ 1 ทีม และสามารถเลือกเจาะจงได้ว่าอยากเลือกผู้สมัครคนใดในบัญชีรายชื่อของทีมดังกล่าว โดยจำนวน สสร. ที่แต่ละทีมได้จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนคะแนนที่ทีมได้ ส่วนผู้สมัครคนไหนในทีมจะได้รับเลือกตั้งก็ขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงที่ผู้สมัครแต่ละคนในทีมนั้นได้รับ เปรียบเทียบกับผู้สมัครคนอื่นในทีมเดียวกัน 

อย่างไรก็ตาม พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า ในเมื่อ สสร. ตัวแทนพื้นที่หรือตัวแทนทั่วไปที่มาจากการเลือกตั้งมีทางเลือกที่หลากหลาย หลายฝ่ายจึงมองว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งจะมีแค่ สสร. ประเภทนี้ประเภทเดียวก็อาจเพียงพอแล้ว แต่ก็ยังมีบางฝ่ายที่อาจกังวลว่า สสร. ตัวแทนพื้นที่เพียงอย่างเดียวยังไม่ตอบโจทย์ เพราะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะมีพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์เข้ามาอยู่ในกระบวนการตั้งโจทย์และการตัดสินใจ รวมถึงบางฝ่ายก็กังวลว่า สสร. ที่มีแค่ตัวแทนพื้นที่หรือตัวแทนทั่วไป ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะมีตัวแทนจากกลุ่มต่าง ๆ ที่มักถูกมองข้าม แต่จำเป็นในการสะท้อนเสียงที่หลากหลายทางสังคม

แต่ทั้งนี้ ทางคณะอนุกรรมาธิการยืนยัน ว่าข้อกังวลดังกล่าวไม่ควรนำไปสู่การเสนอให้ สสร. บางส่วนไม่มาจากการเลือกตั้ง แต่ทางออกที่เป็นไปได้ในการคลี่คลายข้อกังวลดังกล่าวอาจเป็นการเพิ่มประเภท สสร. ขึ้นมาอีก 2 ประเภทที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเฉพาะ แต่ยังคงมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด นั่นคือ ข) สสร. ประเภทตัวแทนผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ ที่มาจากการเลือกตั้ง และ ค) สสร. ประเภทตัวแทนกลุ่มความหลากหลาย ที่มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน

พริษฐ์ยังระบุด้วยว่า หากตัดสินใจว่าจะมี สสร. ประเภทเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาจาก สสร. ตัวแทนพื้นที่หรือตัวแทนทั่วไปหรือไม่ จะมี 3 โจทย์หลักที่ต้องพิจารณาในการออกแบบต่อไป ประการแรก “จะกำหนดคุณสมบัติสำหรับผู้สมัคร สสร. ประเภทดังกล่าวอย่างไร” ซึ่งในส่วนของ สสร. ประเภท ข) อาจจะกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น กฎหมาย รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ การเมืองในระบบ หรือการเมืองภาคประชาชน

เช่นเดียวกับในส่วนของ สสร. ประเภท ค) ก็อาจจะกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นหนึ่งในกลุ่มความหลากหลายต่าง ๆ เช่น กลุ่มเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มคนพิการ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือหากมองว่ากลุ่มความหลากหลายสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่มมาก ก็อาจจะเลือกไม่กำหนดหมวดหมู่หรือคุณสมบัติใดเป็นการเฉพาะ แต่เปิดให้ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งต้องระบุเองในกระบวนการสมัครและการรณรงค์หาเสียง ว่าตนเป็นตัวแทนกลุ่มความหลากหลายในมิติใด

โจทย์ประการต่อมา “ใครจะเป็นผู้เลือก สสร. ประเภทดังกล่าว” แน่นอนว่าทางเลือกที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือการรวบรวมรายชื่อผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติมาให้ประชาชนเลือกโดยตรง ผ่านการเพิ่มบัตรเลือกตั้งขึ้นมาอีก 1 ใบต่อ 1 ประเภท แต่หากใครกังวลว่าการมีบัตรเลือกตั้งหลายใบมากเกินไปอาจเกิดความสับสน อีกทางเลือกหนึ่งที่ทางคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้พิจารณา คือการให้ สสร. ประเภท ข) และ ค) ถูกเลือกโดย สสร. ประเภท ก) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แม้จะไม่ใช่การเลือกตั้งทางตรง แต่วิธีนี้จะยังคงมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากกว่าการปล่อยให้ สสร. ประเภท ข) และ ค) ถูกเลือกโดยคณะรัฐมนตรี รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือคณะกรรมการใด ๆ เนื่องจาก สสร. ประเภท ก. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด และอย่างน้อยที่สุด ประชาชนยังได้รับรู้ในวันเลือกตั้ง สสร. ว่า สสร. ประเภท ก. ที่เขาเลือกเข้าไปโดยตรง จะไม่เพียงแต่มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ยังมีอำนาจในการเลือก สสร. ประเภทอื่น ๆ เข้ามาทำงานเพิ่มเติมด้วย

โดยอาจมีการกำหนดกติกาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สสร. ประเภท ก) ต้องแจ้งกับประชาชนก่อนวันเลือกตั้งว่าจะเสนอชื่อใครมาเป็น สสร. ประเภทอื่น ๆ ที่เข้ามาร่วมทำงาน ไม่ว่าจะผ่านกลไกแบบบังคับ เหมือนที่แต่ละพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. ต้องระบุชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค หรือจะใช้กลไกแบบสมัครใจก็ได้

และโจทย์ประการสุดท้าย “จะใช้ระบบเลือกตั้งใดในการเลือก” ซึ่งทางเลือกสำหรับโจทย์นี้จะคล้ายกับที่คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้นำเสนอไว้สำหรับระบบเลือกตั้ง สสร. ประเภท ก) ก่อนหน้านี้

พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า ภายใต้ทางเลือกต่าง ๆ ที่รายงานนี้ได้นำเสนอ จะเห็นว่าการออกแบบ สสร. สามารถทำได้หลายโมเดลมาก เพื่อตอบโจทย์สำคัญต่าง ๆ โดยหากมองว่า สสร. ควรมีแค่ตัวแทนพื้นที่ในทุกจังหวัด ก็อาจจะมีแค่ สสร. ประเภท ก) ที่ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง หรือหากมองว่าไม่จำเป็นต้องมี สสร. ที่เป็นตัวแทนในพื้นที่ต่าง ๆ ก็อาจจะมีแค่ สสร. ประเภท ก) ที่ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง หรือหากมองว่า สสร. ควรมีทั้งตัวแทนพื้นที่ในระดับจังหวัด และตัวแทนเชิงประเด็นในระดับประเทศ ก็อาจจะแบ่ง สสร. ประเภท ก) เป็น 2 ประเภทย่อย คือที่ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และที่ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง คล้ายกับ สส. ที่มีทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ

หรือหากต้องการรับประกันพื้นที่ให้กับผู้เชี่ยวชาญและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางสังคมจริง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นการเพิ่ม สสร. ขึ้นมาอีก 2 ประเภท เพื่อให้ประชาชนเลือก สสร. ผ่านบัตรเลือกตั้ง 3 ใบ ประกอบด้วย 1 ใบ สำหรับ สสร. จังหวัด 1 ใบ สำหรับ สสร. ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์ และ 1 ใบ สำหรับ สสร. ตัวแทนกลุ่มความหลากหลาย หรือหากกังวลว่าการมีบัตรเลือกตั้ง 3 ใบจะสร้างความสับสนยุ่งยาก ก็อาจกำหนดให้ สสร. ประเภท ข) และ ค) ถูกเลือก โดย สสร. ประเภท ก) ที่ประชาชนเลือกเข้าไป

พริษฐ์กล่าวสรุปว่า สุดท้ายแล้ว สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่ง สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดมีได้หลายโมเดลและหลายรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรายงานนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าโมเดลหรือระบบเลือกตั้ง สสร. แบบใดดีที่สุด แต่ต้องการฉายภาพให้ได้เห็นถึงทางเลือกอันแตกต่างหลากหลายที่เป็นไปได้เกี่ยวกับโมเดลหรือระบบเลือกตั้ง สสร. รวมถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก

“หากโมเดล สสร. เป็นเสมือนจานอาหาร และหากคณะอนุกรรมาธิการฯ นี้เป็นเสมือนร้านอาหารที่ขายเฉพาะอาหารที่ใช้สูตรว่า สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ผมหวังว่ารายงานฉบับนี้ก็จะเปรียบเสมือนเมนูอาหารที่มีอาหารตามสั่งที่หลากหลายเพียงพอให้ประชาชนได้เลือกและปรุงแต่งได้ตามรสชาติที่เขาต้องการ โดยไม่มีใครจำเป็นต้องไปตอบสนองความต้องการของตนเอง ด้วยการเดินไปทานที่ร้านอาหารอีกร้านหนึ่ง ที่ขายอาหารบางจานซึ่งหันเหออกจากหลักการว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด” พริษฐ์กล่าว

ท้ายที่สุด ที่ประชุมสภาฯ มีมติเห็นชอบรายงานของคณะอนุกรรมาธิการฯ และมีมติให้ส่งรายฉบับนี้ไปยังคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาทุกคน เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพิจารณาและเป็นทางเลือกต่อไป

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net