Skip to main content
sharethis

โฆษกพรรคก้าวไกล ห่วงผลสอบ PISA การศึกษาไทยลดทั้งกระดาน เป็นสัญญาณวิกฤติเรื่องคุณภาพระบบการศึกษา ตอกย้ำต้องยกเครื่องหลักสูตรการศึกษาใหม่ เน้นพัฒนาทักษะ-ฐานสมรรถนะ ควบคู่กับเร่งลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียน

6 ธ.ค.2566 จากกรณี บีบีซีไทย - BBC Thai ผลประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) ขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยเฉพาะของเด็กนักเรียนไทยประจำปี 2565 ซึ่งพบว่าแย่ลงในทุกทักษะเมื่อเทียบกับ 4 ปีก่อน ทั้งด้านคณิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน โดย PISA ระบุว่าในการทดสอบครั้งล่าสุดนี้ คะแนนเฉลี่ยในทุกทักษะของเด็กไทยต่ำที่สุดกว่าการทดสอบครั้งก่อนๆ นับแต่ไทยเข้าร่วมประเมินเป็นครั้งแรกเมื่อ 20 กว่าปีก่อน นอกจากนี้ หากดูเฉพาะช่วง 10 ปีหลังสุด (2555-2565) จะพบว่าทักษะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คะแนนของเด็กไทยลดลงไปกว่า 30 คะแนน ส่วนคะแนนด้านการอ่านลดลงไปกว่า 60 คะแนน ซึ่งเป็นช่วงคะแนนที่มากกว่าที่ปกติเด็กคนหนึ่งๆ จะได้รับจากการเรียนตลอด 1 ปีเสียอีก นั้น

ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกและ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงผลคะแนนของนักเรียนไทยลดลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำสุดในรอบ 20 ปี ในทักษะทั้ง 3 ด้านที่มีการประเมิน โดยมีอันดับอยู่ในครึ่งล่างของตารางทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย 1) คณิตศาสตร์ คะแนนลดลง 6% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม), 2) การอ่าน คะแนนลดลง 4% (อันดับ 64 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม) และ 3) วิทยาศาสตร์ คะแนนลดลง 4% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)

พริษฐ์ระบุว่าผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ได้ เนื่องจากคุณภาพของระบบการศึกษาไทยมีแนวโน้มถดถอยมาอย่างต่อเนื่องตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมา และตนหวังว่าผลลัพธ์นี้จะเป็นสัญญาณเตือนสำหรับให้ทุกภาคส่วนให้เห็นว่าการศึกษาไทยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต

สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล  กล่าวต่อว่า การที่เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่กลับมีทักษะที่ตามหลังหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาไทยที่มีปัญหาไม่ใช่เพราะเด็กไทยไม่ขยัน แต่เป็นเพราะระบบการศึกษาไม่สามารถแปรชั่วโมงเรียนและความขยันของนักเรียนให้ออกมาเป็นทักษะได้เท่ากับระบบการศึกษาของประเทศอื่น

พริษฐ์กล่าวต่อไป ว่าแม้การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยยังจำเป็นต้องอาศัยหลายมาตรการ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่ มาแทนที่หลักสูตรปัจจุบันที่ไม่ได้มีการเขียนใหม่หรือปรับปรุงขนานใหญ่มาหลายปี

หากวันนี้ก้าวไกลมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล จะมีการชวนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ครู นักเรียน ผู้ปกครอง มาร่วมออกแบบหลักสูตรให้เสร็จภายใน 1 ปี เนื่องจากหลายภาคส่วนมีการพัฒนาข้อเสนอเรื่องหลักสูตรใหม่มาสักพักแล้ว เพื่อเริ่มทยอยนำมาใช้ในแต่ละระดับชั้นให้ครบทั้งหมดภายในวาระของรัฐบาล

พริษฐ์ยังระบุด้วยว่าในมุมมองของตน เป้าหมายหลักของหลักสูตรใหม่ควรเป็นการเน้นพัฒนาทักษะ-สมรรถนะที่นำไปใช้ได้จริงในอาชีพการงานและในชีวิต โดยตนขอเสนอกรอบเบื้องต้นดังต่อไปนี้:

1) ปรับวิชาหรือเป้าหมายของวิชาให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักเรื่องทักษะ-สมรรถนะ, ทบทวนวิชาที่ควรมีหรือไม่มี, ปรับเป้าหมายของแต่ละวิชาให้เน้นทักษะที่สำคัญ มากกว่าการอัดฉีดเนื้อหาหรือข้อมูลให้กับผู้เรียน เช่น ภาษาอังกฤษที่เน้นการสื่อสาร หรือวิชาประวัติศาสตร์ที่เน้นการวิเคราะห์-ถกเถียง-แลกเปลี่ยน

2) ปรับวิธีการสอนและเสริมทักษะให้ครูสามารถพลิกบทบาทจาก “ครูหน้าห้อง” ที่เน้นถ่ายทอดความรู้ผ่านการบรรยายทางเดียว มาเป็น “ครูหลังห้อง” ที่เน้นสร้างบรรยากาศและจัดสรรเวลาให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนมากขึ้น

3) ลดจำนวนชั่วโมงเรียนและคาบเรียน จาก 1,200 ชั่วโมงต่อปี เหลือประมาณ 800-1,000 ชั่วโมงต่อปีตามมาตรฐานสากล ลดเนื้อหาหรือกิจกรรมในส่วนที่ไม่จำเป็นลง เพื่อเน้นที่คุณภาพของชั่วโมงเรียน และให้นักเรียนเหลือเวลาเพียงพอสำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการพักผ่อน

4) ลดภาระการบ้านและการสอบแข่งขันที่หนักเกินไป ปรับไปใช้วิธีประเมินผลรูปแบบอื่น เช่น การบูรณาการการบ้านหลายวิชา การทำกิจกรรมในเวลาเรียน การทำโครงการกลุ่ม ฯลฯ เพื่อลดภาระและความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเยาวชนไทย

5) เพิ่มเสรีภาพในการเรียนรู้ ลดวิชาบังคับ เพิ่มวิชาทางเลือก ให้นักเรียนมีอิสระและมีส่วนร่วมในการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง โอบรับความหลากหลายของผู้เรียนที่มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน

6) เพิ่มการตรวจสอบโดยประชาชน เพิ่มกลไกในการทำให้หนังสือเรียนและข้อสอบปรับตามและสอดรับกับหลักสูตรใหม่ ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนตรวจสอบเนื้อหาหนังสือเรียน และการเปิดข้อสอบ TCAS ย้อนหลังทั้งหมดพร้อมเฉลย

7) กระจายอำนาจด้านการออกแบบหลักสูตร โดยวางระบบให้มีหลักสูตร 3 ระดับ ประกอบด้วยแกนกลาง จังหวัด และสถานศึกษา ควบคู่กับการลดกลไกควบคุมจากส่วนกลาง เพื่อให้โรงเรียนมีอำนาจมากขึ้นในการออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการและความจำเป็นของผู้เรียนในแต่ละโรงเรียน

8) วางกลไกสำหรับการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ให้มีการทบทวนหลักสูตรแกนกลางทุก 4 ปี เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและทักษะที่จำเป็นในแต่ละยุคสมัย

9) ส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ออกแบบสภาพแวดล้อมและการเรียนการสอนในห้องเรียนที่เอื้อต่อการพร้อมตั้งคำถามและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

พริษฐ์ยังเสนอว่านอกเหนือจากการจัดทำหลักสูตรใหม่ อีกมาตรการที่สำคัญคือการลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนหรือการพัฒนาผู้เรียน เพราะปัจจุบันประมาณ 40% ของเวลาทำงานครูถูกใช้ไปกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้เรียน 

สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เสนอว่าต้องมีการเร่งทบทวนลดภาระงานครูทั้งในด้าน งานเอกสาร งานธุรการ การเขียนรายงาน การนอนเวร ฯลฯ เพื่อลดภาระงานครูและคืนครูให้นักเรียน ตัดงานที่ไม่จำเป็นออก นำเทคโนโลยีมาช่วยงานในบางส่วน และการจัดหาบุคลากรด้านอื่นมาช่วยแบ่งเบาภาระ

“ผมเข้าใจว่ารัฐบาลอาจมีเป้าหมายอื่นที่ตั้งไว้ แต่รัฐต้องระมัดระวังในการใช้วิธีโยนนโยบายไปให้ครูปฏิบัติโดยไม่ประเมินภาระงานและความคุ้มค่าของงานอย่างรอบคอบ เพราะทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น ครูมักต้องดึงตัวเองออกมาจากห้องเรียนเพื่อไปทำเอกสารรายงานการดำเนินงานตามนโยบายต่างๆ แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ผลลัพธ์ของนโยบายดังกล่าวไม่เกิดขึ้นจริงตามที่รัฐคาดหวัง แต่ยังไม่สร้างผลดีทั้งต่อตัวครู ตัวผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาในภาพรวมด้วย” พริษฐ์กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net