ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 'อานนท์ นำภา' อีก 4 ปี เหตุโพสต์ 3 ข้อความ ชี้แม้จะใช้คำว่า “ระบอบกษัตริย์” และ “สถาบันกษัตริย์” แต่สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 มีจุดประสงค์ให้ประชาชนที่เห็นข้อความดังกล่าวเข้าใจผิด
17 ม.ค.2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้ (17 ม.ค. 67) เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลอาญา รัชดาฯ นัดฟังคำพิพากษาในคดี ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ของ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในแกนนำกลุ่ม “คณะราษฎร 2563” จากกรณีโพสต์ 3 ข้อความในเฟซบุ๊ก เมื่อเดือนมกราคม 2564 ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การบังคับใช้มาตรา 112 กับผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์และเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
โดยศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่รอลงอาญา ระบุว่า ข้อความทั้งสามของจำเลยแม้จะใช้คำว่า “ระบอบกษัตริย์” และ “สถาบันกษัตริย์” แต่สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 มีจุดประสงค์ให้ประชาชนที่เห็นข้อความดังกล่าวเข้าใจผิดว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเบียดบังเอาทรัพย์สินของประเทศไปเป็นของตนเอง และทรงใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งเป็นความความเท็จ จาบจ้วงล่วงเกิน ทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ
คดีนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2564 แน่งน้อย อัศวกิตติกร ประธานศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์หรือ ศชอ. ได้เดินทางไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) หลังเห็นโพสต์ 3 ข้อความของอานนท์ และพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกอานนท์ให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2564 และแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3)
อานนท์ให้การปฏิเสธโดยตลอดตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นศาล ในการสืบพยานเมื่อเดือนเมษายนและพฤศจิกายน 2566 อัยการโจทก์พยายามนำสืบว่า การกระทำของจำเลยเป็นการจงใจใส่ร้าย ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ แม้จำเลยไม่ได้มีการระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าพาดพิงถึงบุคคลใด แต่มีนัยสื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ติชมอย่างสุจริตตามรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ข้อต่อสู้ของอานนท์คือ โพสต์ทั้งสามกล่าวถึงคนในกระบวนการยุติธรรมที่บังคับใช้มาตรา 112 และสถาบันกษัตริย์ ไม่ได้เจาะจงกล่าวถึงกษัตริย์องค์ใด โดยมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การใช้มาตรา 112 เพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง, บทบาทของสถาบันกษัตริย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองไทย ซึ่งขัดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รวมไปถึงเรื่องการใช้งบประมาณของสถาบันกษัตริย์
รายงานข่าวของศูนย์ทนายความฯ ระบุด้วยว่า ช่วงเช้าวันนี้ อานนท์ถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อมาฟังคำพิพากษา และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวมาที่ห้องพิจารณา 902 โดยในห้องพิจารณาได้มีผู้ที่มาให้กำลังใจอานนท์เป็นจำนวนมาก ญาติ สื่อมวลชน รวมไปถึงผู้สังเกตการณ์คดีจากองค์กรสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
เวลา 09.20 น. ศาลออกนั่งอ่านคำพิพากษา สรุปใจความได้ว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากที่เข้านำสืบเบิกความในทำนองเดียวกันว่า โพสต์ทั้งสามตามฟ้องมีลักษณะใส่ร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 ทำให้ผู้พบเห็นข้อความดังกล่าวรู้สึกไม่ดีและดูหมิ่นเกลียดชังรัชกาลที่ 10 โดยมีการใส่ร้ายว่า พระองค์ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายที่ต่างประเทศ เบียดบังเอาทรัพย์สินของประเทศไปเป็นของพระองค์ อันเป็นการหมิ่นประมาท อาฆาดมาดร้ายพระมหากษัตริย์
แม้ในโพสต์จะใช้คำว่า “ระบอบกษัตริย์” และ “สถาบันกษัตริย์” ไม่ได้มีการเจาะจงถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 แต่เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้ว จะเข้าใจได้ว่าสื่อถึงรัชกาลที่ 10 นอกจากนี้ การที่จำเลยขอออกหมายเรียกเอกสารสำคัญอย่าง ตารางการเดินทางเข้าออกประเทศของรัชกาลที่ 10 ระบุในบัญชีพยานจำเลย เห็นว่า หากจำเลยไม่ได้มุ่งหมายถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 แล้ว เหตุใดถึงต้องอ้างหลักฐานดังกล่าวมาในบัญชีพยานจำเลย อีกทั้งจำเลยยังเบิกความอ้างว่า ต้องการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 ให้กลับไปเป็นเหมือนในรัชกาลที่ 9 จึงเป็นการตอกย้ำยืนยันว่า ทั้งสามข้อความกล่าวถึงรัชกาลที่ 10
พยานหลักฐานโจทก์มีความแน่นหนาและปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้หมิ่นประมาทในหลวงรัชกาลที่ 10 พร้อมกับมีจุดประสงค์ให้ประชาชนที่เห็นข้อความดังกล่าวเข้าใจผิดว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเบียดบังเอาทรัพย์สินของประเทศไปเป็นของตนเอง และทรงใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งเป็นความความเท็จ จาบจ้วงล่วงเกิน ทำให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 4 ปี และให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกในคดีที่พิพากษาไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ศาลได้กำชับกับผู้ที่มานั่งฟังการพิพากษาว่า ขอให้สื่อมวลชนเผยแพร่คำพิพากษาอย่างระมัดระวัง เพราะว่าบางถ้อยศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว
คดีนี้นับเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 2 ของอานนท์ที่ศาลมีคำพิพากษา ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกอานนท์ 4 ปี ในคดีจากกรณีการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 โดยอานนท์ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์เรื่อยมา ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จนถึงวันนี้ (17 ม.ค. 2567) เป็นเวลา 114 วันแล้ว และหากนับโทษจำคุกในคดีนี้และคดี #ม็อบ14ตุลา ต่อกันตามคำพิพากษา อานนท์มีโทษจำคุกจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) รวม 8 ปีแล้ว
ทั้งนี้ อานนท์ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จากการปราศรัยและโพสต์ข้อความในช่วงปี 63-64 รวมทั้งสิ้น 14 คดี โดยยังเหลือคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล 11 คดี และอยู่ในชั้นอัยการอีก 1 คดี
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)