Skip to main content
sharethis

ผลสำรวจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 66 ของสื่อ 4 องค์กรสื่อออนไลน์ พบคนไม่เชื่อมั่น กกต. อยากให้รายงานผลนับคะแนน 'real time' ไม่เห็นด้วยกติกาเรื่อง “ต่างเขตต่างเบอร์-ส.ว.โหวตนายกฯ” และเกิน 20% จะไม่เลือกพรรคเดิม จากปัจจัย “นโยบาย-แคนดิเดตฯ-โอกาสเป็นรัฐบาล”

19 เม.ย.2566 ผลการสำรวจความเห็นประชาชน “VOTE66: เลือกคน? เลือกนโยบาย? เลือกใคร?” ซึ่งร่วมกันจัดทำโดยสื่อออนไลน์ 4 องค์กร ประกอบด้วย TODAY, The MATTER, The Momentum และประชาไท ให้ภาพความคิดเห็นต่อการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค.2566 ไว้อย่างน่าสนใจ

ทั้ง 1.ความเชื่อมั่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง 2.ความเห็นต่อกติกาการเลือกตั้ง ส.ส. บางอย่าง และที่มาของนายกรัฐมนตรีที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และ 3. ปัจจัยที่เหล่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้ประกอบการตัดสินใจว่า จะเลือกผู้สมัครคนใดหรือพรรคการเมืองใด

คนไม่เชื่อมั่น กกต. อยากให้รายงานผลนับคะแนน 'real time'

ผลสำรวจดังกล่าวที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาร่วมแสดงความเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 22 มี.ค. – 5 เม.ย.2566 มีผู้มาร่วมตอบคำถาม 1,913 คน จำนวนมากแสดงความ “ไม่เชื่อมั่น” ต่อการทำงานของ กกต. ในทุกๆ ด้าน ทั้ง

  • การรายงานผลอย่างฉับไวและโปร่งใส (มั่นใจน้อยมาก 72.9%)
  • การจัดการกับข้อร้องเรียนทุจริตอย่างเป็นธรรม (มั่นใจน้อยมาก 65.7%)
  • การแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. อย่างยุติธรรม (มั่นใจน้อยมาก 60.7%)
  • การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม (มั่นใจน้อยกว่า 58.7%)
  • การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างทั่วถึง (มั่นใจน้อยมาก 46.5%)

ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง 97.9% “ไม่เห็นด้วย” กับการที่ กกต.ประกาศว่าจะไม่รายงานผลการนับคะแนนแบบ real time โดยอ้างเหตุผลเรื่องไม่มีงบประมาณและอาจเกิดความคลาดเคลื่อนของข้อมูล

เมื่อถามว่าอยากฝากอะไรถึง กกต. บ้าง? ผลปรากฏว่าข้อความจำนวนมากที่เขียนเข้ามาแสดงความเห็นเชิงลบต่อ กกต. อาทิ

  • ทำงานให้ประชาชนสะดวก ไม่ใช่ กกต.สะดวก
  • กรุณาทำตัวให้เป็นองค์กรอิสระโดยแท้จริง
  • ทำดีสักครั้ง เริ่มต้นด้วยรายงานเรียลไทม์ จะเป็นพระคุณยิ่ง
  • ทำงานให้คุ้มกับเงินเดือน มีกระดูกสันหลังหน่อย คนไทยไม่ได้โง่

ฯลฯ

ไม่เห็นด้วยกติกาเรื่อง “ต่างเขตต่างเบอร์-ส.ว.โหวตนายกฯ”

ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนมาก ยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับ “กติกา” ในการเลือกตั้ง ส.ส. บางอย่าง และ “ที่มา” ของนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ซึ่งมีที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เช่น การกำหนดให้บัตรเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส.เขตและบัญชีรายอาจไม่ได้ใช้เบอร์เดียวกัน (81.9% ไม่เห็นด้วย) การให้ ส.ว.เข้ามามีสิทธิในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. (95.9% ไม่เห็นด้วย)

โดยคุณสมบัติคนที่อยากได้ให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี 5 ลำดับแรก ประกอบด้วย

  1. เคารพหลักการประชาธิปไตย (71.7%)
  2. มองเห็น ยอมรับ และมีวิธีจัดการกับปัญหาต่างๆ (55.8%)
  3. ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ (54.1%)
  4. กล้าชนกับคนมีอำนาจ กลุ่มอิทธิพล (53.9%)
  5. ซื่อสัตย์ สุจริต (17.2%)

ส่วนคุณสมบัติพรรคการเมืองที่อยากจะเลือก 5 ลำดับแรก ประกอบด้วย

  1. พร้อมปฏิรูปองค์กรต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ (84.2%)
  2. เน้นเรื่องสวัสดิการ การพัฒนาสังคม (77.4%)
  3. ชูนโยบายเศรษฐกิจปากท้อง ทำให้คนอยู่ดีกินดี (75.0%)
  4. มีวิธีปราบโกงและต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างเป็นรูปธรรม (61.2%)
  5. สนับสนุนความหลากหลาย ทั้งเรื่องเพศ ฐานะ หรือชาติพันธุ์ (56.7%)

เกิน 20% จะไม่เลือกพรรคเดิม จากปัจจัย “นโยบาย-แคนดิเดตฯ-โอกาสเป็นรัฐบาล”

อีกข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ ผู้ตอบแบบสำรวจที่เคยมีสิทธิเลือกตั้งในปี 2562 และออกไปเลือกตั้ง (1,539 คน จากทั้งหมด 1,913 คน) มากกว่าหนึ่งในห้า คือกว่า 21.5% ที่ระบุว่าจะไม่เลือกพรรคการเมืองเดิม

โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะนโยบายพรรคครั้งนี้ไม่โดนใจ แก้ปัญหาไม่ได้จริง (29.3%) ไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียงครั้งที่แล้ว (27.5%) แคนดิเดตนายกฯ ไม่น่าสนใจ (23.9%) ไม่น่าจะได้เป็นรัฐบาล (12.1%) คนที่เคยเลือกย้ายไปพรรคอื่นแล้ว (11.8%) โดยมีผู้เขียนเหตุผลอื่นๆ มาอีกนับร้อยความเห็น อาทิ อยากให้โอกาสพรรคอื่น, อุดมการณ์เปลี่ยน, ส.ส.ของพรรคไปเข้าร่วมกับรัฐบาลปัจจุบัน, อยากเลือกพรรคที่มีโอกาสเป็นรัฐบาล ฯลฯ

เมื่อแยกเป็นรายพรรคการเมืองที่ผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่า เคยลงคะแนนให้ตอนปี 2562 พบว่า ผู้เคยลงคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่/ก้าวไกล เป็นกลุ่มคนที่จะเลือกพรรคเดิมมากสุดถึง 84.36% ขณะที่คนเคยเลือกพรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ พรรคเสรีรวมไทย และพรรคภูมิใจไทย ประมาณ 66-85% เลือกเปลี่ยนใจ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ เปลี่ยนใจสูงสุด 85.71% ส่วนเพื่อไทยเปลี่ยนใจ 29%

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจนี้เกินครึ่ง (62.0%) ระบุว่า มีความหวังกับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 โดยเกือบทั้งหมด (96.4%) บอกว่า จะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจนี้ก็ให้ภาพความเห็นของผู้คนต่อการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566 ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะจากผู้ตอบแบบสำรวจ 1,913 คน มีคนที่ระบุว่าเคยเลือกพรรคอนาคตใหม่/ก้าวไกล 65.0% พรรคเพื่อไทย 21.0% พรรคประชาธิปัตย์ 3.1%พรรคพลังประชารัฐ 2.4% พรรคเสรีรวมไทย 1.4% พรรคภูมิใจไทย 0.6% พรรคชาติไทยพัฒนา 0.1% ที่เหลือเป็นพรรคอื่นๆ หรือตอบว่าจำไม่ได้

เมื่อแยกตามวัย พบว่ากว่าครึ่งเป็นคน Gen Y (อายุระหว่าง 25-40 ปี) และ 53.4% มีภูมิลำเนาอยู่ใน กทม.และปริมณฑล

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net