Skip to main content
sharethis

สรุปเสวนา “แรงงานข้ามชาติในช่วงโควิด: จะวนลูปหรือมูฟออน” ภาคประชาชนแนะรัฐวางยุทธศาสตร์จัดการ-แก้ปัญหาโควิดกลุ่มแรงงานข้ามชาติระยะกลาง-ยาว ก่อนโอไมครอนระบาด พาปัญหาวนลูปที่เดิม พร้อมรับฟังเสียงจากคนงานข้ามชาติถึงผลกระทบและปัญหาจากนโยบายรัฐช่วงโควิด-19

16 ธ.ค. 64 เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group-MWG) รายงานเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 64 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) อาคารมณียา เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group-MWG) จัดกิจกรรมเนื่องในวันผู้อพยพย้ายถิ่นสากล (International Migrant Day) 18 ธ.ค.ของทุกปี ภายใต้หัวข้อ “แรงงานข้ามชาติในช่วงโควิด: จะวนลูปหรือมูฟออน” เพื่อสื่อสารไปยังผู้กำหนดกฎหมายนโยบายการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติให้รับฟังสะท้อนเสียงของแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรการการควบคุมโรคและตลอดจนมาตรการเยียวยาจากรัฐ พร้อมรับฟังความเห็นของภาคประชาสังคมต่อการยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในภาวะวิกฤตโรคระบาดของรัฐบาล

  • ภาคประชาชนจี้รัฐทบทวนบทบาทอย่าสร้างปัญหาซ้ำเติมแรงงานข้ามชาติ เร่งนำแรงงานเข้าระบบย้ายถิ่นอย่างปลอดภัยก่อนหลุดหาย 6-7 แสนคน
  • แนะรัฐจัดทำยุทธศาสตร์กลาง-ยาวรับมือปัญหาแรงงาน เตือนระวัง "โอไมครอน" ระบาดทำกลับเข้าวงจรเดิม
  • ด้านแรงงานข้ามชาติสะท้อนปัญหา ขอรัฐจัดหาล่าม-ข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด
  • เครือข่ายสิทธิแรงงานฯ จี้รัฐไทยจ่ายเงินเยียวยา ม.33 ครอบคลุมแรงงานข้ามชาติ อัดรัฐมองแค่ขจัดโควิดแต่ไม่ได้มองถึงการดูแลชีวิตคน
  • แนะรัฐหามาตรการตรวจโควิดแรงงานประมงแทนห้ามออกเรือช่วงการระบาด 
  • “นักวิชาการ มช.” ชี้ไม่สามารถห้ามการข้ามแดนได้ ต้องเปิดช่องทางให้แรงงานข้ามชาติเข้าระบบ เชื่อคุมโควิด-บริหารจัดการได้ง่ายขึ้น

ภาค ปชช. ชี้สถานการณ์โควิดทำแรงงานข้ามชาติเจอปัญหาหนัก 4 ข้อ

นายอดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ หรือ MGW กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาของแรงงานข้ามชาติในช่วงสถานการณ์โควิดมี 4 เรื่อง คือ 1.เรื่องของการถูกเลิกจ้าง การปิดกิจการ ทำให้แรงงานไม่มีรายได้ ส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อปิดกิจการแล้วหานายจ้างใหม่ไม่ทันก็กลายเป็นอยู่อย่างผิดกฎหมาย 2.คนที่จะเข้ามาอย่างถูกกฎหมายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมีการปิดด่านชายแดนตั้งแต่ปี 2563  ประกอบกับสถานการณ์ในประเทศต้นทางไม่ดี เมื่อความต้องการจ้างแรงงานของไทยเพิ่มสูงขึ้นก็ทำให้คนจำนวนมากต้องแอบลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้น 3. การต่อหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตที่ยังเป็นปัญหามาตั้งแต่ปี 2563 ทำแรงงานไม่มั่นใจว่าอยู่ต่อได้หรือไม่ และมีที่เจ้าหน้าที่รัฐบางคนหาประโยชน์จากเรื่องนี้ โดยหลอกว่าพาสปอร์ตหมดอายุต้องถูกปรับ และ 4.ผลกระทบโดยตรงจากโควิด ในช่วงปี 2564 มีการระบาดในพื้นที่ที่มีแรงงานข้ามชาติอยู่จำนวนมาก คือ ในกทม. และปริมณฑล ในขณะที่คนไทยก็ติดโควิดจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการเข้าถึงการตรวจและรักษาโควิดของแรงงานข้ามชาติ 

อดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ

รัฐไทยมีแค่แผนระยะสั้นแก้ปัญหาไม่ตอบโจทย์ คาดทำแรงงานหลุดจากระบบ 6-7 แสนคน

นายอดิศร กล่าวว่า สำหรับในเรื่องการแก้ปัญหาของรัฐบาล ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยมาตรการระยะสั้น มี มติ ครม. ที่เกี่ยวกับเรื่องแรงงานข้ามชาติทั้งหมด 13 เรื่อง เฉลี่ยคือ 2 เดือนต่อครั้ง และประมาณ 9-10 เรื่อง เป็นเรื่องของการขยายเวลา เห็นได้ชัดว่าการแก้ปัญหาเช่นนี้ไม่ได้มีการวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาวแต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงไม่ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหา แม้ในระยะหลังจะมีความพยายามแก้ปัญหาบางเรื่อง เช่น เรื่องเปลี่ยนนายจ้างไม่ทัน มีการขยายเวลา แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการให้ทันท่วงที จึงพบว่านโยบายของรัฐไม่สามารถรักษาคนในระบบได้และทำให้คนหลุดออกจากระบบไปเรื่อยๆ  ดังนั้นสิ่งที่รัฐควรทำคือต้องเปิดให้จัดระบบใหม่ เพราะจำนวนคนที่หายไปกับคนที่เข้ามาไม่สอดคล้องกัน เปรียบเทียบตัวเลขแรงงานตั้งแต่ มี.ค. 2563 กับเดือน ต.ค. 64 ตัวเลขหายไปกว่า 4.7 แสนคน หากไม่มีการจดทะเบียนใหม่ตัวเลขน่าจะหายไป 6-7 แสนคน แม้จะเปิดให้มีการจดทะเบียนเป็นระยะ ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถดึงคนเข้าสู่ระบบได้ เพราะปัญหาในเรื่องขั้นตอนการจดทะเบียนที่ยุ่งยากและค่าใช้จ่ายที่สูงของกระทรวงแรงงาน จึงแก้ปัญหาให้แรงงานและนายจ้างไม่ได้กลายเป็นการสร้างภาระเพิ่มมากกว่า เป็นโจทย์ใหญ่ในเรื่องการจัดการแรงงานข้ามชาติภายในประเทศในช่วงที่ผ่านมา

ชี้การย้ายถิ่นอย่างปลอดภัยยังไม่เกิด หลังแรงงานลักลอบเข้าเมืองเจออุบัติเหตุตาย-บาดเจ็บถี่ขึ้น

นายอดิศร กล่าวต่อว่า อีกเรื่องคือคนที่ลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งมีการลักลอบเข้ามาตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว และมาเพิ่มมากขึ้นในปี 2564 หลังช่วงเดือนมี.ค. เป็นต้นมาจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เข้าใจว่าเกิดจาก 2 ส่วน คือ 1. เริ่มมีการเปิดให้มีจ้างงานอย่างเป็นระบบ กิจการต่างๆ เปิดดำเนินการได้มากขึ้น จึงมีการดึงแรงงานจากต่างประเทศเข้ามา 2.สถานการณ์การเมืองในเมียนมา จึงมีคนจำนวนหนึ่งที่หลบหนีการปราบปรามและผลกระทบทางการเมืองเข้ามาทำงานในไทย ปัญหาที่เห็นได้ชัดขึ้นคืออุบัติเหตุจากการเดินทางของคนงาน เฉพาะเดือน พ.ย.-ต้น ธ.ค.ที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว 7-8 ครั้ง มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้ว 11 คน บาดเจ็บ 47 คน สะท้อนให้เห็นว่าหากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้อยู่ การย้ายถิ่นอย่างปลอดภัยในการทำงานก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากดนโยบายของรัฐที่ไม่มีความชัดเจนเรื่องการเปิดให้คนเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่

แนะรัฐทำยุทธศาสตร์ระยะกลาง-ยาว ดึงคนเข้าสู่ระบบ สกัด “โอไมครอน” ลามแรงงานข้ามชาติทำกลับสู่วงจรเดิมแก้ปัญหาไม่จบ

นายอดิศร กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาสิ่งรัฐบาลต้องทำคือ 1.จัดทำแผนยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวในการในการรองรับแรงงานข้ามชาติในข่วงสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะเมื่อเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนเข้ามา แต่เรายังไม่มีแผนรับมือที่เหมาะสมการระบาดจะเกิดขึ้นรุนแรงในกลุ่มแรงงานข้ามชาติอีกหรือไม่ เพราะเชื้อโอไมครอนแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดิม  และสุดท้ายจะกลับเข้าสู่วงจรเดิม คืออาจต้องมีการปิดชายแดนหรือปิดกิจการอีก ปัญหาก็จะแก้ไม่จบ 2.ต้องพิจารณามาตรการในการจัดการคนข้างใน คือป้องกันไม่ให้แรงงานหลุดจากระบบ ทำให้ระบบการจดทะเบียนการขออนุญาตทำงานมีความสะดวกมากขึ้นและค่าใช้จ่ายถูกลง 3.การจัดการพื้นที่ชายแดน ต้องมีความชัดเจน มีค่าใช้จ่ายในการคัดครองที่ไม่แพงมาก กรณีนักท่องเที่ยวยังเปิดให้เข้ามาแบบไม่ต้องกักตัว แรงงานเหล่านี้ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าเป็นไปได้หรือไม่ 4.เรื่องการนำเข้าแรงงาน แม้รัฐบาลจะเปิดให้มีการนำเข้า แต่ก็ยังเจอปัญหาค่าใช้จ่ายที่แพง ต้องมีการตรวจโรคโควิดเพิ่ม และการกักตัวตามเงื่อนไข แต่พื้นที่กักตัวตามด่านต่างๆ ไม่เพียงพอ จึงทำให้นโยบายและเอ็มโอยูของรัฐบาลอาจจะทำได้น้อยหรือแทบทำไม่ได้เลย

“สุดท้ายสิ่งที่ต้องทำก็คือต้องมีมาตรการในการออกนโยบายที่มีหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมด้วย นอกจากนั้น ที่เราเจอคือคนงานที่ไปร้องเรียนกับกระทรวงแรงงานแล้วถูกจับ เป็นการไม่แก้ปัญหาแต่สร้างปัญหาให้คนงาน คนงานจดทะเบียนไปแล้ว แต่ตรวจโรคไม่ได้เพราะโรงพยาบาลไม่รับตรวจเขาจึงไปร้องเรียน จึงคิดว่ากระทรวงต้องพิจารณาบทบาทตัวเองใหม่ ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการดูแลคุ้มครองคนงานอย่างเป็นระบบ”อดิศรกล่าว

แรงงานข้ามชาติขอสิทธิฉีดวัคซีนเหมือนคนไทย พร้อมจัดหาล่าม-เข้าถึงข้อมูลวัคซีน

ด้าน Yin Htwe ตัวแทนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา กล่าวถึงสถานการณ์การเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ของแรงงานข้ามชาติ ว่า ที่ผ่านมาในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.แรงงานข้ามชาติค่อนข้างเข้าถึงวัคซีนได้ยากลำบาก เพราะไม่รู้ว่าจะติดต่อช่องทางไหน แต่หลังจากที่ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและมูลนิธิรักษ์ไทยก็ได้ช่วยกันติดตามวัคซีนให้ ทั้งในส่วนที่เป็นแรงงานในระบบมีประกันสุขภาพ และแรงงานเถื่อนไม่มีบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย อีกทั้งตอนนี้เราได้รับการสนับสนุนจากสภากาชาดไทยในเรื่องการจัดการหาวัคซีนให้วอร์กอินเข้าไปฉีดได้ตามโรงพยาบาลต่างๆ ได้  ซึ่งตนคิดว่าว่าแรงงานข้ามชาติทั้งหมดก็ควรได้รับการฉีดวัคซีนเช่นเดียวกับคนไทย 

Yin Htwe กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามแม้แรงงานข้ามชาติจะเข้าถึงวัคซีนได้ง่ายขึ้นกว่าในช่วงแรกของการระบาด แต่ยังมีปัญหาในส่วนของคนที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน หรือคนที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไม่ใช่ กทม. หรือ จ.สมุทรสาคร ไม่มีอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) คอยช่วยดำเนินการ อาจจะเข้าถึงข้อมูลการฉีดวัคซีนได้ค่อนข้างลำบาก ในมุมมองของตนการบริหารจัดการวัคซีนเพื่อให้แรงงานต่างชาติทุกคนได้เข้าถึงนั้น ควรจะลงลึกไปถึงระดับสำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือสถานีอนามัยในแต่ละเขตแต่ละพื้นที่ อยากให้ประกาศออกมาว่าแรงงานข้ามชาติสามารถเข้ามาฉีดได้ นอกจากนั้นการมีจิตอาสาหรือล่ามแปลเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้แรงงานข้ามชาติได้ฉีดวัคซีนก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งระบบของรัฐไทยยังมีปัญหาเรื่องการจัดหาล่าม การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเพื่อให้แรงงานข้ามชาติได้รับรู้และเข้าถึงข้อมูลการฉีดวัคซีน ถ้าเป็นไปได้พื้นที่ต่าง ๆ ควรดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย  

ตัวแทนแรงงานเกษตรระบุโควิด19ทำกระทบหนัก การจ้างงานลด พืชผลทางการเกษตรตกต่ำ

ขณะที่นายซาย วี ตัวแทนแรงงานภาคเกษตร กล่าวว่า ในสถานการณ์โควิด 19 แรงงานภาคเกษตรได้รับผลกระทบที่หนักมาก โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศล็อคดาวน์ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งทำให้แรงงานไม่สามารถเข้าไปรับจ้างทำงานได้ จึงทำให้เกิดผลกระทบทั้งแรงงานข้ามชาติเองและเจ้าของสวนในภาคเกษตรที่ต้องใช้แรงงาน เมื่อการจ้างงานลดลง พืชผลทางการเกษตรก็ตกต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการในภาคเกษตรขาดทุน และทำให้เจ้าของสวนไม่มีกำลังใจในการทำงานต่อไปอีก

นายซาย วี ตัวแทนแรงงานภาคเกษตร

แรงงานภาคก่อสร้างระบุการฉัดวัคซีนโควิด 19 ให้แรงงานข้ามชาติยังมีปัญหา

นายปอด สัง ตัวแทนแรงงานก่อสร้าง กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด19 พวกเราอยู่อย่างลำบากมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน เรื่องของรายได้ เราถูกสั่งปิดตั้งแต่เมื่อมีการระบาดของโควิด เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนครึ่งที่เราไม่มีรายได้ ในส่วนอาหารก็ต้องอาศัยการบริจาคจากเจ้าหน้าที่มูลนิธิต่าง ๆซึ่งในแคมป์คนงานของตนมีอยู่ประมาณ 200 คนที่ได้รับผลกระทบ ใสส่วนของวัคซีนมีแรงงานหลายคนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 หรือคนที่ได้รีบการฉีดเข็มที่ 1 ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะได้ฉีดเข็ม 2 เมื่อไหร่ จึงเป็นปัญหาของพวกเรามาก

นายปอด สัง ตัวแทนแรงงานก่อสร้าง

แรงงานทำงานบ้านเผยต้องทำงานหนักมากขึ้นในช่วงล็อคดาวน์โควิด19 แต่ได้รับการจ่ายค่าจ้างเท่าเดิม

ขณะที่นางจำปา ตัวแทนของแรงงานทำงานบ้าน กล่าวว่า ในส่วนของแรงงานที่ทำงานที่บ้านก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้แรงงานในภาคอื่นๆ หลายๆคนอาจจะคิดว่าคนที่ทำงานที่บ้านจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเพราะทำงานและกินอยู่กับนายจ้าง แต่ในความเป็นจริงลูกจ้างที่ทำงานที่บ้านมีการจ้างงานที่หลากหลายช่วงเวลาทำงาน บางคนทำงานและอยู่กับนายจ้างตลอด 24 ชั่วโมง บางคนทำงานแบบมาเช้าเย็นกลับ พอสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด ลูกจ้างทีทำงานบ้านแบบมาเช้าเย็นกลับตกงานทันที เพราะนายจ้างเกิดความหวาดกลัวว่าแรงงานจะนำเชื้อโรคจากข้างนอกมาให้นายจ้าง นายจ้างก็จะใช้วิธีบอกให้ลูกจ้างพักก่อนแต่การพักก็เหมือนกับการเลิกจ้างและลูกจ้างก็จะไม่ได้รับเงินส่วนลูกจ้างที่ทำงานกับนายจ้างตลอด 24 ชั่วโมงหลังรัฐประกาศให้มีการล็อคดาวน์ปรกติลูกจ้างจะต้องมีวันหยุดในการทำงาน แต่เมื่อมีการล็อคดาวน์ลูกจ้างก็จะต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้นอีก แต่เงินก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น  นอกจากนี้ในส่วนของการฉีดวัคซีนลูกจ้างทำงานที่บ้านก็เจอปัญหา ที่ต้องลงทะเบียนกับแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม ซี่งลูกจ้างหลายคนไม่สามารถทำแบบนั้นได้ก็ทำให้มีหลายคนที่เข้าไม่ถึงวัคซีน

จำปา ตัวแทนแรงงานทำงานบ้าน

“เครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติ” ชี้อุตสาหกรรมประมงอ่วม ออกทะเลแล้วกลับฝั่งไม่ได้เกือบปี เพราะประกาศ ผวจ.

ด้าน น.ส.สุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) กล่าวถึงสถานการณ์แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมต่อเนื่องประมงทะเลในวิกฤติโควิด ว่า แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมประมงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา มีลูกเรือ คนเรือในเรือหลายประเภทที่ได้รับผลกระทบในช่วงการระบาดของสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะ เรือประมงแบบไปกลับที่ปกติออกเรือ 15-20 วัน หรือ  3-4 เดือนแล้วกลับเข้าฝั่ง ก็ลากยาวเกือบปีจึงได้กลับเข้าฝั่งได้ ทำให้แรงงานไม่ได้หยุดพัก เพราะผวจ.สมุทรสาครออกมาตรการและประกาศหากกลับเข้าฝั่งจะไม่อนุญาตให้ออกเรือไปอีก เนื่องจากกลัวสถานการณ์โควิด ขณะที่ในส่วนของเรือลากเคยเพื่อทำกะปิ ไม่สามารถออกเรือได้เกือบปี ลูกเรือจึงแทบจะไม่ได้รับค่าจ้างเลย  ซึ่งปัญหาคือแรงงานข้ามชาติที่ถือเอกสารประจำตัวเป็นลูกเรือประมง ไม่สามารถไปรับจ้างหรือทำงานอื่นทดแทนได้ในช่วงที่ไม่ได้ออกเรือ ถ้าไปทำอย่างอื่นก็ถือว่าผิดกฎหมายและถูกตำรวจจับปรับได้ 

สุธาสิณี แก้วเหล็กไหล ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) (คนที่ 2 จากซ้าย)

นายจ้างฉวยโอกาสเลิกจ้างหลังรัฐสั่งหยุดทำงาน

น.ส.สุธาสินี กล่าวว่า ในช่วงแรกของการระบาดโควิดเป็นช่วงการฉกฉวยของนายจ้างในการเลิกจ้าง มาตรการของรัฐเองก็ค่อนข้างสาหัสสากรรจ์ในเรื่องการสั่งหยุดการทำงาน ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คือร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ท ที่คนงานล้วนแต่เป็นแรงงานข้ามชาติ ทุกคนตกงานจากนโยบายของรัฐทั้งหมดตั้งแต่ระลอกแรกมาถึงระลอกสองจนเขาไม่สามารถอยู่ได้ และต้องเจรจาขอเปิดชายแดนกลับภูมิลำเนา พอมาช่วงที่สมุทรสาครเป็นพื้นที่สีแดงแต่กลับมีออร์เดอร์จำนวนมากโดยเฉพาะอาหารทะเลต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมปลากระป๋องขณะที่กำลังแรงงานขาดแคลน ทำให้คนงานไม่มีเวลาพักแม้จะมีการจ่ายค่าโอทีก็ตาม  

จวกรัฐไม่คำนึงถึงชีวิตคนมองแค่จะขจัดโควิดอย่างไร จี้รัฐจ่ายเงินเยียวยาครอบคลุมแรงงานข้ามชาติ

น.ส.สุธาสินี กล่าวต่ออีกว่า มองว่ารัฐไทยยังไม่ได้ดูแลแรงงานข้ามชาติเหล่านี้อย่างเหมาะสม รัฐมองว่าจะขจัดโควิดอย่างไร แต่ไม่ได้มองว่าคน ชีวิตของคนจะดูแลอย่างไร รัฐไม่ได้มองและคำนึงถึงชีวิตคนและหาวิธีการรองรับ ทั้งๆ ที่มันน่าจะมีวิธีการรองรับที่ดีกว่านี้ กระทรวงสาธารณสุขจะออกแบบอย่างไรในเรื่องการตรวจโควิดสำหรับแรงงานประมง ไม่ใช่กำหนดตายตัวโดยประกาศออกไปว่ากลับขึ้นฝั่งมาแล้วไม่ต้องออกไปอีก และต้องไม่มองว่าโรคนี่ร้ายจนไม่สามารถเอาคนขึ้นมาพักได้เลย มันสามารถที่จะตรวจได้ทั้ง ATK และวิธีการตรวจอื่น ๆ ซึ่งเวลานี้รัฐยังไม่ได้มีมาตรการเหล่านี้

“แรงงานข้ามชาติก็เป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยจากนโยบายของรัฐด้วย แต่ทำไมเวลารัฐมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด เช่น โครงการ ม. 33 เรารักกัน หรือ โครงการคนละครึ่ง แรงงานข้ามชาติจึงไม่ได้รับการเยียวยาด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่สีแดงอย่าง จ.สมุทรสาครล้วนแต่เป็นแรงงานข้ามชาติตั้งกี่แสนคน เขาอยู่ในพื้นที่สีแดงด้วยเพียงแต่เขาไม่ได้เป็นคนไทยเท่านั้น อย่างน้อยก็ควรดำเนินการเยียวยาในส่วนของคนที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีการขึ้นทะเบียนก่อน เรื่องนี้เป็นข้อเสนอหากต้องมีการล็อกดาวน์ปิดจังหวัดอีกในอนาคต” สุธาสินี ระบุ

นักวิชาการ มช.ชี้รัฐประหารเมียนมาทำคนลอบข้ามแดนทะลัก ทั้งหนีภัยสู้รบ-โควิด-แสวงหาโอกาสใหม่ในชีวิต

ด้านน.ส.ศิรดา เขมานิฏฐาไท อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในเมียนมาและผลกระทบต่อแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยว่า สถานการณ์การเมืองในเมียนมาหลังการรัฐประหารมีการสู้รบในเขตพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีความต้องการของคนในเมียนมาที่ต้องการหนี ทั้งหนีภัยการสู้รบ ต้องการแสวงหาโอกาสที่ดีขึ้นเพราะสภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ ตลอดจนหนีจากภัยโควิด ซึ่งหลังรัฐประหารระบบสาธารณสุขที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีก หมอพยาบาล ถูกจับกุมเพราะออกมาอารยะขัดขืน  จึงทำให้มีความต้องการข้ามแดนเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก เป็นผลกระทบแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนและรุนแรงขึ้นในช่วงนี้ และเมื่อผสมกับเรื่องโควิดทำให้ปัญหาทับซ้อนกันไปหมด  แต่ฝั่งไทยยังมองการข้ามแดนเน้นไปแค่ในเรื่องของขบวนการค้ามนุษย์หรือขบวนการลักลอบนำพาข้ามแดนด้านเดียว

น.ส.ศิรดา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ทางการไทยระบุว่า ในช่วง 1 ก.ค. 2563-30 พ.ค. 2564 จับกุมชาวเมียนมาที่ลักลอบข้ามชายแดนมาได้จำนวน 1.5 หมื่นคน ต่อมาในช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค. 2564 จับกุมได้กว่า 1.05 หมื่นคน โดยในจำนวนนี้ตัวเลขพุ่งสูงสุดในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาจำนวน 5,782 คน ซึ่งคนเหล่านี้จะถูกผลักดันกลับทันที หรือบางส่วนถูกคุมขังไว้ก่อนผลักดันกลับต่อไป อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้ไม่ใช่แค่เกิดจากปัญหาการเมืองในเมียนมาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องความต้องการแรงงานของฝั่งไทยที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น คนต้องการเข้ามาอยู่แล้วแต่เข้าไม่ได้เพราะนโยบายของไทยยังไม่ได้เปิดชายแดน  เมื่อความต้องการเข้าไทยมีมาก ค่าใช้จ่ายต่อหัวให้ผู้นำพาก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน   

ห้ามการข้ามแดนไม่ได้จึงต้องเปิดช่องทางให้เข้ามาทำงานได้ง่ายขึ้น พร้อมดึงคนเข้าระบบเชื่อคุมโควิดได้  

น.ส.ศิรดา กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาทางภาครัฐพยายามแก้ปัญหาแรงงามข้ามชาติมาตลอด โดยพยายามจัดการให้แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศให้เข้าสู่ระบบ  ดังนั้นหากจะมีการจะเปิดลงนามความร่วมมือ (MOU ) นำเข้าแรงงานครั้งใหม่รอบพิเศษ อยากจะให้มีลักษณะของการที่เปิดช่องทางให้กับชาวเมียนมาหรือแรงงานข้ามชาติที่ต้องการจะเข้ามาทำงานในไทย ให้มีช่องทางเข้ามาทำงานได้ง่ายมากขึ้น และสามารถเข้าสู่ระบบได้ เพราะต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถจะห้ามการข้ามแดนมาได้ จึงควรให้มีระบบที่เข้าถึงได้ง่ายๆ ถ้าเกิดรัฐไทยมีความกลัวเรื่องโรคระบาดการเข้าระบบก็จะทำให้ทุกอย่างมันอยู่ในร่องในรอยมากขึ้น ถ้าทำให้เขาอยู่ในระบบและมีแรงดึงดูดให้เขาเข้ามาอยู่ในระบบได้ ก็จะเป็นผลดี จะทำให้เห็นภาพ ตัวเลขต่าง ๆ และควบคุมได้ง่ายขึ้น ในเชิงการปฏิบัติจึงต้องมีระบบที่ทำให้เขาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนที่เหมาะสมด้วย

หวั่น MOU นำเข้าแรงงานสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กองทัพเมียนมา

น.ส.ศิรดา กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ตามผลพวงของการรัฐประหารในเมียนมาทำให้แรงงานข้ามชาติไม่สามารถเข้าถึงบริการเอกสารรับรองของทางราชการได้อย่างเป็นปกติเพราะระบบราชการชะงักไป พอไทยกำลังจะกลับมาใช้ MOU ระบบการนำเข้าแรงงานแบบพิเศษที่มีระบบการกรองคนในเชิงโรคระบาดก่อนข้าม หรือว่าให้ฉีดวัคซีนก่อน แต่มันก็มีปัญหาตรงที่ว่าแล้วรัฐบาลไทยจะมีร่วมมือหรือดีลกับรัฐบาลเมียนมาผ่านช่องทางไหน เพราะว่ามันจะมีเรื่องของความชอบธรรมทางการเมืองของเมียนมาว่าใครเป็นตัวแทนของรัฐ

“ตอนนี้สิ่งที่เขารณรงค์กันคือเขาไม่อยากให้ความชอบธรรมทางการเมืองไปตกอยู่กับกองทัพเมียนมา หรือสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ถ้าเราทำ MOU ซึ่งเป็นความร่วมมือแบบทวิภาคีระหว่าง 2 รัฐ หรือ 2 หน่วยงานของแต่ละประเทศ มันจะเลี่ยงภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เราต้องไปเชื่อมกับระบบราชการในเมียนมา ซึ่งตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพได้หรือไม่  จะเป็นลักษณะของการทำงานร่วมกับกองทัพเมียนมาในทางอ้อมหรือไม่ ในสายตาของต่างชาติก็จะเท่ากับเราทำงานร่วมกับรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งไม่ใช่แค่ในระดับรัฐบาลเท่านั้น ตัวองค์กรภาคประชาสังคมเอง หรือว่าคนที่ทำงานเรื่องนี้ สุดท้ายมันก็จะเป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า  เราต้องการให้มีช่องทางที่มันเป็นทางการในการนำเข้าแรงงาน แม้ว่าจะเป็นการทำงานที่เคลื่อนไปตามระบบราชการ แต่สุดท้ายก็คือระบบราชการที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอะไร” ศิรดา กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net