เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2564 สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้แสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการเสียชีวิตของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาทั้ง 6 คน จากฝนมรสุมที่ตกหนักมาเป็นเวลายาวนาน 3 วัน และลมกระโชกรุนแรงเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่พักพิงผู้ลี้ภัยในเมืองคอกซ์บาซา ประเทศบังคลาเทศ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม เมื่อวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม

จากรายงานเบื้องต้น ผู้ลี้ภัยมากกว่า 12,000 คนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ และที่พักพิงประมาณ 2,500 หลังได้รับความเสียหายและถูกทำลาย

เพียง 24 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ปริมาณน้ำฝนกว่า 300 มิลลิเมตรได้ไหลเข้าสู่ค่ายต่างๆ ที่เป็นที่พักพิงของผู้ลี้ภัยชาวโรงฮิงญามากกว่า 800,000 คน ซึ่งเทียบได้เกือบครึ่งของปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยของเดือนกรกฎาคมทั้งเดือนใน 1 วัน คาดว่าฝนจะตกหนักไปอีก 2-3 วัน และฤดูมรสุมจะยาวนานไปอีก 3 เดือน สถานการณ์เป็นที่น่ากังวลมากยิ่งขึ้นเมื่อเกิดขึ้นพร้อมกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะที่มีการจำกัดพื้นที่อย่างเข้มงวดภายในประเทศเพื่อรับมือกับการติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วประเทศ

เพื่อสนับสนุนแผนการรับมือของรัฐบาล ทีมช่วยเหลือฉุกเฉินในเครือข่ายของ UNHCR ได้รวมตัวเพื่อเข้ามอบความสนับสนุนและความช่วยเหลือแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่ถูกบังคับให้โยกย้ายออกจากพื้นที่ชั่วคราวในทันที ทางทีมกำลังประเมินความเสียหายของที่พักพิงและได้เริ่มซ่อมแซมที่พักพิงและปรับปรุงพื้นที่อย่างฉับพลัน อีกทั้งยังให้ความสำคัญอีกเรื่องในการเข้าถึงบริการที่จำเป็นต่างๆ แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก

อาสาสมัครผู้ลี้ภัยที่ได้รับการฝึกอบรมจาก UNHCR และพันธมิตรได้ร่วมทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืนท่ามกลางฝนที่ตกหนักเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่มีความต้องการอย่างเร่งด่วน ในบางกรณี รวมถึงการช่วยชีวิตผู้ลี้ภัยจากที่พักพิงที่โดนดินถล่มใส่ ที่ผ่านมาผู้ลี้ภัยมากกว่า 5,000 คนได้โยกย้ายไปอาศัยในที่พักพิงของญาติหรือในพื้นที่ส่วนกลางเป็นการชั่วคราวแล้ว

ทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ดินที่ถล่มล่าสุด และน้ำที่ท่วมขัง ได้เพิ่มความยากแค้นและความต้องการด้านมนุษยธรรมของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในประเทศบังคลาเทศขึ้นอีกอย่างมหาศาล จนถึงวันนี้แผนการรับมือร่วมประจำ พ.ศ. 2564 ต่อวิกฤตด้านมนุษยธรรมของชาวโรฮิงญาได้รับงบประมาณเพียง 9 พันล้านบาท (274 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือประมาณร้อยละ 30 ของงบประมาณที่ต้องการทั้งหมด 31 พันล้านบาท (943 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อการรับมือกับวิกฤตในปีนี้