เป็นที่ทราบกันดีว่ารายได้ของรัฐบาลไม่ได้มาจากภาษีทางตรงเท่านั้น แต่มาจากภาษีทางอ้อม โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นที่มาของรายได้อันดับหนึ่ง คนจนหรือคนรวยก็ใช้จ่ายและมีส่วนเสียภาษีนี้เช่นเดียวกัน

ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถ้าเทียบกับภาษีเงินได้ที่เก็บจากนิติบุคคลแล้วเห็นชัดเจนว่า บริษัทห้างร้าน นิติบุคคลจ่ายภาษีมากกว่าเกือบเท่าตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรายได้ของบริษัทห้างร้านก็มาจากการใช้จ่ายเงินของประชาชนคนธรรมดา ทั้งคนจน คนรวย แล้วนำเงินไปจ่ายภาษีให้รัฐ

ถ้าคิดแบบคุณประยุทธ์ คนจนจ่ายภาษีน้อย แล้วไปตัดสวัสดิการการช่วยเหลือคนจน เพิ่มผลประโยชน์ให้คนรวยคนจ่ายภาษีเยอะ นิติบุคคล ห้างร้าน ธุรกิจที่จ่ายภาษีเยอะก็จะได้รับการตอบแทนทางนโยบายมากกว่า อย่างที่รัฐบาลพยายามจะทำอยู่ทุกวันนี้ แต่หาคิดไม่ว่ารายได้ของห้างร้าน เหล่านี้มาจากการใช้จ่ายของประชาชนคนทั่วไปทั้งรวย จน ซึ่งโดยรวมๆ แล้ว คนจนอาจจ่ายภาษีมากกว่าคนรวยด้วยซ้ำ เมื่อเทียบเป็นร้อยละของภาษีที่จ่ายต่อการอุปโภคบริโภค

ผลงานวิจัยหลายเรื่องระบุว่าคนจนดื่มเหล้ามากกว่าคนรวย แน่นอนว่าเป็นเหล้าราคาถูก คุณภาพต่ำที่เสียภาษีแสนแพง ภาษีเหล้า บุหรี่เหล่านี้ รัฐบาลนำเงินมาใช้รณรงค์ให้คนจนงด ละ เลิก เหล้าเป็นส่วนใหญ่ และการรณรงค์หลายกรณีที่ผ่านมา ล่วงละเมิดสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ของผู้ดื่มเหล้า ทั้งยังสร้างค่านิยมเหยียดประณามคน(จน) ผู้ดื่มเหล้าด้วย

จะเห็นว่านอกจากจะนำเงินของคนจนมาใช้จ่ายด่า ทอ ประณาม คนจน เจ้าของเงินแล้ว ยังว่ากล่าว สั่งสอนผ่านสื่อสาธารณะอยู่สม่ำเสมอ ทั้งที่ควรสำนึกในบุญคุณ ด้วยการนำเงินของเขามาตอบแทน ช่วยเหลือ ดูแลสุขภาพ ควบคุมให้เหล้าบุหรี่มีคุณภาพที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ราคาถูกลงรณรงค์วัฒนธรรมการดื่มที่จะไม่ไปละเมิดผู้อื่น มากกว่าจะมาทำโฆษณาด่าทอ สาบแช่งกัน

ว่าไปแล้ว ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลก็ล้วนหาเสียง เสนอนโยบายกับคนจน คนรากหญ้าเดิม เพื่อให้ได้รับเลือกเข้ามาเป็น ส.ส. แล้วมายกมือให้คุณประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีมิใช่หรือ
 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: เฟสบุ๊ค สามชาย ศรีสันต์