ICJ ยังรายงานถึงคดีอื่นๆ ที่มีลักษณะเป็นการคุกคามผ่านกลไกของกฎหมายเช่นกันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ดังนี้
คดีนี้เป็นตัวอย่างล่าสุดของการใช้กฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งรวมถึงการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททางอาญาและพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะปิดปากเหยื่อ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีหมิ่นประมาทกับเว็บไซต์ ‘Manager Online’ ซึ่งลงบทความที่มีเนื้อหาในลักษณะที่มีการกล่าวหาว่ามีการทรมานและการประติบัติที่ทารุณอื่นๆต่อผู้ต้องสงสัยในค่ายทหารสองแห่ง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เรียกร้องให้สำนักข่าวชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาทจากการรายงานบทความดังกล่าว
ผู้อำนวยการ กอ.รมน. ภาค 4 ได้มอบหมายให้ พ.อ. หาญพล เพชรม่วง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษทางอาญาตามมาตรา 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาตราที่ 14 (2) แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ต่อบรรณาธิการของบทความดังกล่าวของ Manager Online ซึ่งเผยแพร่บทความ “แฉ! อดีตผู้ต้องสงสัยเผยถูกซ้อมทรมานเหมือนตายระหว่างถูกคุมตัวในค่ายทหาร” เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เมื่อปี พ.ศ. 2554 พนักงานตำรวจก็ได้เข้าร้องทุกข์ให้มีการดำเนินคดีอาญาต่ออนุพงศ์ พันธชยางกูร อดีตกำนัน อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ฐานแจ้งความเท็จว่าตนถูกทรมานและถูกประติบัติอย่างทารุณโดยตำรวจทีมที่มาสืบสวนสอบสวน
กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการ “แจ้งความเท็จ” คือกรณีที่อนุพงศ์ พันธชยางกูร อ้างว่าตนได้ถูกทรมานเพื่อให้รับสารภาพว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีปล้นอาวุธเมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่ค่ายทหารนราธิวาสราชนครินทร์ และการฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลอื่นอีก 3 คน
อนุพงศ์ พันธชยางกูร จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 20 นายซึ่งอยู่ในทีมสืบสวนสอบสวน หลังจากที่คดีของเขาถูกยกฟ้องในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และได้พิพากษาให้อนุพงศ์ พันธชยางกูร ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี
ในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวของพลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเสียชีวิตเนื่องจากถูกทรมานระหว่างการฝึกทหารในปีพ.ศ. 2554 ในจังหวัดนราธิวาส ก็ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาททางอาญา และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวนั้นถูกริเริ่มดำเนินคดีโดยนายทหารรายหนึ่งที่กล่าวหาว่านริศราวัลถ์ได้กล่าวโทษว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้าของเธอ ซึ่งเกี่ยวเนื่องมาจากการที่ครอบครัวได้พยายามแสวงหาความยุติธรรมจากการเสียชีวิตดังกล่าว คดีของนริศราวัลถ์นั้นยังรอคงรอความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องจากอัยการสูงสุด
ในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 หลังจากกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งสาม ได้แก่ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ สมชาย หอมลออ และอัญชนา หีมมิหน๊ะ ทั้งสามได้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในข้อหาหมิ่นประมาททางอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อันสืบเนื่องมาจากการตีพิมพ์รายงานที่รวบรวมกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการทรมานและการประติบัติที่ทารุณอื่น ๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเจ้าหน้าที่ของไทยจำนวน 54 คดีตั้งแต่ พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2560 กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงความประสงค์ที่จะถอนการแจ้งความการดำเนินคดีดังกล่าว และในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560 อัยการจังหวัดปัตตานีได้มีคำสั่งยุติการดำเนินคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งสาม
ก่อนหน้านี้ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 กองทัพไทยก็ได้ยื่นคำร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีอาญากับพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม องค์กรของเธอ เพราะทำให้หน่วยทหารพรานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ "เสื่อมเสียชื่อเสียง" เนื่องจากพรเพ็ญได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลไทยเรียกร้องให้มีการสืบสวนสอบสวนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทหารทำร้ายร่างกายชายผู้หนึ่งระหว่างการจับกุมตัว ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 พรเพ็ญและองค์กรของเธอได้รับแจ้งจากตำรวจว่าอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว
ความเป็นมา
ประเทศไทยเป็นภาคีของกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and other
ทั้งนี้ สิทธิที่จะเข้าถึงกระบวนการเยียวยาจากการถูกทรมานและการประติบัติที่ทารุณอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการที่เรื่องร้องเรียนจักได้รับการสวบสวนอย่างรวดเร็ว โดยครบถ้วน และเป็นกลาง ล้วนแต่ได้รับการประกันไว้โดย ICCPR และ CAT
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 ระหว่างการพิจารณาการปฏิบัติตามพันธกรณีของไทยตามมาตรา 19 ของ CAT ตามวาระครั้งที่ 1 คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ (United Nations Committee Against Torture หรือ คณะกรรมการต่อต้านการทรมาน) ได้แสดงความกังวลถึง "การตอบโต้อย่างรุนแรงและการข่มขู่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักข่าว ผู้นำชุมชน และญาติของพวกเขา" และเรียกร้องให้ประเทศไทยใช้มาตรการต่างๆเพื่อยุติ "การกดดัน การคุกคาม และการโจมตี" ดังกล่าว และจัดให้มี "การเยียวยาที่มีประสิทธิภาพต่อเหยื่อและครอบครัวของพวกเขา"
คณะกรรมการต่อต้านการทรมานยังได้เสนอแนะว่าประเทศไทย “ควรจะใช้มาตรการที่จำเป็นต่างๆในการ (ก) หยุดการคุกคามและโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักข่าว และผู้นำชุมชน และ (ข) ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างเป็นระบบเมื่อมีการรายงานว่ามีการข่มขู่ คุกคาม และการโจมตี เพื่อที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และประกันว่าจะมีการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพแก่เหยื่อและครอบครัวของพวกเขา”
ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 ICJ และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (Thai Lawyers for Human Rights หรือ TLHR) ได้ยื่นข้อเสนอแนะร่วมต่อคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน โดยข้อเสนอแนะดังกล่าวได้แนะคำถามแก่คณะกรรมการต่อต้านการทรมานเพื่อสอบถามรัฐบาลไทยในการพิจารณาการปฏิบัติตามพันธกรณีของไทยตามวาระครั้งที่ 2 ที่กำลังจะถึงนี้ โดยได้รวมความกังวลเกี่ยวกับการข่มขู่หรือการตอบโต้ต่อบุคคลที่รายงานกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการทรมาน การประติบัติโหดร้าย และการบังคับสูญหาย ไว้ในข้อเสนอแนะด้วย
หนึ่งในความท้าทายในการนำตัวผู้กระทำผิดในกรณีการทรมานและการประติบัติที่ทารุณอื่นๆ มาลงโทษในประเทศไทยคือการที่อาชญากรรมเหล่านี้ยังไม่ถูกบัญญัติให้เป็นความผิดตามกฎหมายภายใน
ทั้งนี้ มีรายงานว่าร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งถูกร่างโดยกระทรวงยุติธรรม โดยมีการปรึกษาหารือกับองค์กรเอกชนอื่นๆรวมถึง ICJ ถูกส่งกลับไปยังคณะรัฐมนตรีของไทย "เพื่อรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ ... ทั้งจากมหาดไทย ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ทหาร อัยการ"
อนึ่ง เนื่องจากไม่มีช่วงเวลาระบุไว้และไม่มีเงื่อนเวลากำหนดไว้สำหรับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี ก้าวย่างดังกล่าวของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ส.น.ช.) จึงมีผลทำให้การออกกฎหมายดังกล่าวล่าช้าไปโดยไม่มีกำหนด
ในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ICJ และ และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ได้จัดทำข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายแก่กระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ เพื่อให้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับพันธกรณีของไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศยิ่งขึ้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)