Skip to main content
sharethis

รวบผู้ต้องสงสัยมือคาร์บอมบ์ยะลาได้แล้ว 1 ตำรวจเชื่อฝีมือแกงค์ “อุซตาสโซ๊ะ” เพิ่มค่าหัวมือบอมบ์หาดใหญ่คนละ 1 ล้าน ห้าม “รถติดแก๊ส” จอดในห้าง–โรงแรม ระบุคาร์บอมบ์เหลืออีก 4 คัน ประชาสังคมชายแดนใต้ประกาศหนุนเจรจา

หาดใหญ่ห้าม“รถติดแก๊ส”จอดห้าง–โรงแรม
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2555 ที่หอการค้าจังหวัดสงขลา พล.ต.อ.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ฉัตรชัย โปตระนันท์ ที่ปรึกษาสัญญาบัตร 10 ด้านป้องกันและปราบปราม 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้ร่วมประชุมหอการค้าจังหวัดสงขลา และตัวแทนภาคธุรกิจในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า ธุรกิจส่งออก ธุรกิจนำเที่ยว และฝ่ายปกครองจังหวัดสงขลา เพื่อกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยอำเภอหาดใหญ่ และร่วมฟื้นฟูบรรยากาศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์

พล.ต.อ.ฉัตรชัย เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มาตรการที่เจ้าหน้าที่และภาคธุรกิจเริ่มดำเนินการคือ การตั้งด่านตรวจบนถนนสายหลักทั้ง 4 สาย รวมทั้งสายรองและเส้นทางลัดอีกอย่างน้อย 40 เส้นทาง ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเน้นตรวจค้นรถยนต์และบุคคลต้องสงสัย โดยใช้กำลังตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง พร้อมกับกำหนดโซนนิ่งย่านเศรษฐกิจการค้ากลางเมืองหาดใหญ่ให้เป็นสัดส่วน รถยนต์ติดแก๊สห้ามลงไปจอดชั้นใต้ดินของโรงแรม หรือศูนย์การค้าเด็ดขาด รวมทั้งตรวจเช็คสภาพความพร้อมกล้องจรปิดทุกจุดในเมืองหาดใหญ่ว่า ยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ และนำสุนัขเข้ามาตรวจหาวัตถุระเบิดด้วย ทั้งนี้จะจัดอบรมหน่วยรักษาความปลอดภัยสถานประกอบการต่างๆ เกี่ยวกับวิธีตรวจและสังเกตรถต้องสงสัย ป้ายทะเบียนปลอม ในวันที่ 10 เมษายน 2555

ยกระดับรถหายเป็นคดีสำคัญ–คุมมือถือ/ซิมการ์ด
พล.ต.อ.วรพงษ์ เปิดเผยว่า จากนี้ไปคดีรถยนต์หายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องยกเป็นคดีสำคัญ เนื่องจากรถยนต์ที่นำมาใช้ก่อเหตุเป็นรถที่ถูกขโมยมาทั้งสิ้น และรถที่แจ้งหายจะต้องรวบรวมทำเป็นพ็อกเกตบุ๊คแจกจ่ายให้ตำรวจสายตรวจและปราบปราม รวมทั้งป้ายไวนิลติดตามจุดตรวจต่างๆ เพื่อให้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น และต้องทำประวัติอู่ซ่อมรถทุกแห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะรถยนต์ที่ขโมยไปบางส่วนจะนำไปเปลี่ยนสีรถ ขณะที่สินค้าบางตัว เช่น ซิมการ์ดหรือโทรศัพท์มือถือ จะต้องปรับเป็นสินค้าควบคุม

นายสุรชัย จิตภักดีบดินทร์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า ขณะนี้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากเหตุระเบิดหาดใหญ่มีประมาณ 800 ล้านบาท เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวไทยยกเลิกการเดินทางทั้งหมด ส่วนมาเลเซียยกเลิกไปบางส่วน เช่นเดียวกับนักธุรกิจชาวต่างชาติที่มีแผนจะเข้ามาดูงานในหาดใหญ่ก็ยกเลิกการเดินทางทั้งหมดด้วย ขณะที่ภาคการขนส่งก็เรียกร้องเงินค่าเสี่ยงภัย และค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มขึ้น

แนะทำประกันภัยนักท่องเที่ยวคนละ 10 ล้าน
“ภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยว ต้องการให้ภาครัฐประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวคนละ 10 ล้านบาท จากเหตุวินาศกรรม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว การรักษาความปลอดภัยจะต้องครอบคลุมสถานที่สำคัญทุกแห่ง โดยเฉพาะสนามบินที่ค่อนข้างหละหลวม เรียกตรวจเฉพาะรถเก๋ง ส่วนรถยนต์กระบะ และรถตู้ปล่อยให้เข้าไปง่ายๆ หลังจากนี้จะเชิญสื่อมวลชนมาเลเซียมาดูพื้นที่จริง และมาตรการรักษาความปลอดภัยของไทย เพราะข่าวที่ออกผ่านสื่อมวลชนมาเลเซียคลาดเคลื่อนทำให้เกิดความเสียหาย โดยเฉพาะจำนวนผู้เสียชีวิตที่หาดใหญ่ สื่อมาเลเซียบอกว่าสูงถึง 14 คน

เพิ่มค่าหัวมือคาร์บอมบ์หาดใหญ่คนละ 1 ล้าน
วันเดียวกัน พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เปิดเผยว่า อีกไม่เกิน 2 วัน จะออกหมายจับ 2 คนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์เมืองหาดใหญ่ รอรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมบางส่วนเท่านั้น 2 คนร้ายที่จะออกหมายจับ ได้มาจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า ที่บันทึกภาพไว้ได้ขณะขับรถเก๋งคาร์บอมเข้าไปจอด และเดินออกจากโรงแรม เป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ก่อเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ในจังหวัดยะลา เนื่องจากสารประกอบระเบิดเป็นชนิดเดียวกัน และคนร้ายมาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อว่าขณะนี้ยังอยู่ในพื้นที่ ตำรวจได้ตั้งรางวัลนำจับคนร้ายทั้ง 2 คนละ 1 ล้านบาท จากเดิมที่นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้ตั้งรางวัลนำจับไปแล้วคนละ 5 แสนบาท

ลีการ์เดนส์ เปิดให้เจ้าของร้านค้าเข้าห้าง
วันเดียวกัน ที่โรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ ฝ่ายปกครองและตำรวจเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยภายในโรงแรมในส่วนของพลาซ่าอีกครั้ง ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 5 ก่อนให้เจ้าหน้าที่โรงแรมนำผู้ประกอบการในส่วนของพลาซ่ากว่า 200 ร้าน เข้าไปเก็บสิ่งของมีค่าภายในร้าน ส่วนรถจักรยานยนต์ยังคงทยอยนำออกมาจากชั้นจอดรถใต้ดินอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์จะนำรถออกได้ในวันที่ 6 เมษายน 2555 ในส่วนโครงสร้างตัวตึก วิศวกรโยธากำลังตรวจตัวอาคารอย่างละเอียด

รับอาสาสมัครเยียวยาเหยื่อระเบิดลีการ์เดนส์
ทางด้านมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาสุขภาพภาคใต้ ประกาศรับสมัครนักศึกษาหรือบุคลทั่วไปอายุ 18 ปีขึ้นไป ทำงานอาสาสมัครเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดที่ศูนย์การค้าลี การ์เดนส์ พลาซ่า ร่วมกับโรงพยาบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้สนใจสามารถโทรศัพท์ หรือแฟกซ์ข้อมูลแจ้งชื่อ เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ และช่วงเวลาที่สะดวกทำงานได้ที่ 074 455150 หรือส่งข้อมูลผ่านทางคุณกอล์ฟ (วพส.) ฝ่ายลงทะเบียนอาสาที่อีเมล์ golfgeb@hotmail.com หรือแจ้งผ่านเฟซบุ๊กเยาวชนจิตอาสา ม.อ.

เยียวยา “มาเลย์” กว่าครึ่งล้าน
เวลาบ่ายวันเดียวกัน ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ นายสุรพล พนัสอำพล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นตัวแทนจังหวัดสงขลามอบเงินช่วยเยียวยาแก่ญาติของ MR. TAN PENG CHAN อายุ 54 ปี ชาวมาเลเซีย ซึ่งเสียชีวิตจากโดนเพลิงไหม้ในเหตุการณ์ระเบิดที่โรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า โดยรัฐบาลไทยมอบเงินเยียวยาผ่านจังหวัดสงขลารวม 434,000 บาท แยกเป็นเงินจากจังหวัดสงขลา 125,000 บาท จากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 309,000 บาท และห้างลี การ์เด้น พลาซ่า 150,000 บาท รวมแล้ว 584,000บาท ศพของนักท่องเที่ยวรายนี้จะบำเพ็ญกุศลในจังหวัดสงขลา และฌาปนกิจให้แล้วเสร็จ จากนั้นจะนำเถ้ากระดูกกลับประเทศมาเลเซีย

นายสุรพล เปิดเผยว่า การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นครั้งนี้ จังหวัดสงขลาจ่ายเงินช่วยเหลือตามระเบียบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในกรณีเสียชีวิต จ่ายค่าจัดการศพเป็นเงิน 25,000 บาท ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวจ่ายเพิ่มอีก 25,000 บาท กรณีได้รับบาดเจ็บรักษาตัวเกิน 3 วัน จ่าย 3,000 บาท บาดเจ็บเล็กน้อยจ่าย 2,000 บาท และจ่ายเงินช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายละ 2,000 บาท หากนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิตกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาจะจ่ายเงินผ่านสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลาอีก 309,000บาท

“ในส่วนทรัพย์สินประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด รัฐบาลมอบหมายให้จังหวัดรับดูแล ซึ่งจังหวัดมอบหมายให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ตรวจสอบความเสียหายและให้การช่วยเหลือเยียวยา รวมไปถึงรถยนต์และจักรยานยนต์ของประชาชน ถือเป็นทรัพย์สินที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด” นายพนัส กล่าว

รวบผู้ต้องสงสัยมือคาร์บอมบ์ยะลาได้แล้ว 1
เวลา 08.45 น. วันเดียวกัน ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พล.ต.อ.วรพงษ์ เปิดเผยว่า ความคืบหน้าคดีคาร์บอมบ์กลางเมืองยะลา มีความคืบหน้ามาก โดยเฉพาะหลักฐานด้านคดีที่ทำให้ทราบจุดเริ่มต้นของรถที่ประกอบระเบิด จากการตรวจค้นเป้าหมายก็ได้พยานวัตถุจำนวนมาก น่าเชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงถึงผู้กระทำความผิดได้ สำหรับเหตุเชื่อมโยงระหว่างยะลากับหาดใหญ่ พบว่ารถที่นำมาใช้ก่อเหตุเป็นรถที่ชิงมาจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนการประกอบระเบิดยังไม่ยืนยันว่าเหมือนกันหรือไม่ ต้องรอให้หลักฐานชัดเจนก่อน พยานหลักฐานที่พบในขณะนี้ รอผลพิสูจน์เพิ่มเติมนิดหน่อย ก็สามารถออกหมายจับคนร้ายได้ จากข้อมูลที่มีอยู่ก็เป็นกลุ่มเดิมๆ ในพื้นที่ ตนมั่นใจว่าออกหมายจับและจับกุมผู้ก่อเหตุได้แน่นอน

รายงานข่าวศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้แจ้งว่า หลังจากได้วัตถุพยานภาพจากกล้องวงจรปิด ตำรวจได้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว 1 รายคือ นายอนุวัฒน์ โต๊ะเจ๊ะ อายุ 22 ปี ชาวตำบลยุโป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า เป็นผู้ขับรถติดตามรถยนต์กระบะที่ประกอบวัตถุระเบิดในจุดแรก จึงเชิญตัวบุคคลดังกล่าวไปซักถามว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ เบื้องต้นนายอนุวัฒน์ยังให้การปฏิเสธ

แกงค์“อุซตาสโซ๊ะ”บอมบ์ยะลา
พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า คนร้ายที่ก่อเหตุคาร์บอมบ์กลางเมืองยะลา ตำรวจมุ่งเป้าไปยังกลุ่มนายอิสมาแอ ระยะหลง หรืออุซตาสโซ๊ะ แกนนำก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการ ที่สั่งการให้แนวร่วมที่มีความชำนาญการประกอบวัตถุระเบิด รวมตัวกันลงมือก่อเหตุ สำหรับมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยจะมีความเข้มกว่าเดิม 2–3 เท่า ในย่านการค้า และย่านชุมชน

พล.ต.ต.พีระ เปิดเผยต่อไปว่า พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้จุดตรวจ 4 มุมเมือง ประกอบด้วย จุดตรวจท่าสาป เส้นทางมาจาก อำเภอยะหา อำเภอกาบัง จุดตรวจมลายูบางกอก เส้นทางมาจากอำเภอรามัน อำเภอบันนังสตา อำเภอธารโต จุดตรวจขุนไว เส้นทางมาจากอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และจุดตรวจเมืองทอง เส้นทางมาจากอำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ตั้งด่านตรวจเข้มรถยนต์ จักรยานยนต์ และบุคคลจะตรวจหมายเลข 13 หลักทุกคน เพื่อตรวจจับผู้มีหมายจับ ทั้งหมายตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก่อนจะเข้ามายังตัวเมืองยะลาอย่างละเอียด

“นอกจากนี้ ยังสั่งให้ควบคุมรถยนต์และจักรยานยนต์ที่ขาดการเสียภาษี ตลอดจนไม่สามารถนำหลักฐานการเป็นเจ้าของมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงยังประกาศแจ้งเตือนให้ระมัดระวังกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจจะก่อเหตุครั้งใหม่ โดยประกอบวัตถุระเบิดซุกซ่อนไว้ในรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อเตรียมก่อเหตุในเขตเทศบาลนครยะลาอีกครั้ง” พล.ต.ต.พีระ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทางเข้าออกหน่วยงานสถานที่ราชการต่างๆ โดยเฉพาะทางเข้าออกภายศาลากลางจังหวัดยะลา มีการตรวจค้นรถยนต์และรถจักรยานยนต์อย่างละเอียด ขณะที่ทหารได้วางกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่รอบนอกเขตเทศบาลนครยะลา โดยตรวจค้นรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งบุคคลเป้าหมายอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีการกำชับไปยังอำเภอต่างๆ ให้ตรวจสอบรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และบุคคลเป้าหมายด้วย

เหลืออีก 4 คัน รถประกอบระเบิดคาร์บอมบ์
สำหรับรถประกอบระเบิด 10 คัน ที่มีการแจ้งเตือนมาก่อนหน้านี้ ขณะนี้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ได้ออกปฏิทินภาพรถยนต์ 7 คัน ที่คนร้ายใช้ประกอบคาร์บอมบ์ โดยล่าสุดนำไปใช้ก่อเหตุระเบิดไปแล้ว 3 คัน ประกอบด้วย รถฮอนด้า ซีวิค สีดำ ก่อเหตุระเบิดที่โรงแรม ลี การ์เดนส์ พลาซ่า รถกระบะ 2 คัน ที่ระเบิดกลางเมืองยะลา

ส่วนที่เหลืออีก 4 คัน เป็นรถโตโยต้า สีเทา ทะเบียน บน 3384 ลำปาง รถกระบะสีเขียว ยี่ห้อมิตซซูบิชิ สตาด้า ทะเบียน ม 1137 ปัตตานี และรถกระบะสีน้ำตาล ยี่ห้ออีซูซุ ดีแมคซ์ ทะเบียน 9197 ปัตตานี อีกคันเป็นรถกระบะสีน้ำตาล ไม่ทราบทะเบียน หากใครพบเบาะแสให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้ตรวจสอบอย่างเร่งด่วนที่ โทร 0-7341-4688 / 0-7334-8555

ประชาสังคมชายแดนใต้ยืนยันเปิดพื้นที่กลางและเจรจา
วันเกียวกัน สภาประชาสังคมชายแดนใต้ องค์กรกลางของกลุ่มประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บและสูญเสียจากเหตุการณ์คาร์บอมบ์ พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนการกำหนดปัญหาใจกลาง ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ทั้งระบบ เนื่องจากกว่า 8 ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่ารัฐไทยล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาโดยสิ้นเชิง

สภาประชาสังคมชายแดนใต้ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการใช้ความรุนแรง เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของทุกกลุ่มในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ปล่อยให้นักการเมือง รัฐบาล หรือหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงแก้ปัญหากันเพียงลำพัง

“เรายังคงยืนยันการขยายการเปิดพื้นที่กลางสำหรับให้ทุกฝ่ายได้แลกเปลี่ยนและนำเสนอความคิดเห็นในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่อย่างเสมอภาคและเป็นธรรมพร้อมทั้งสนับสนุนหลักการเจรจาระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างสันติสุขและสันติภาพอย่างยั่งยืนต่อไป” แถลงการณ์ระบุ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net