Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis
 
ชื่อบทความเดิม: จะสามารถมีหลักเกณฑ์ที่ทุกฝ่ายยอมรับ (ด้วยเหตุผล) ได้หรือไม่ ? ในการพิจารณาว่า “รัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมืองหรือไม่ ? ในเหตุการณ์ ระหว่าง 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553”
 
มีความเห็นที่แตกต่างกันว่า   นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรับผิดชอบทางการเมืองหรือไม่ ? ในเหตุการณ์ระหว่าง 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553 ที่มีผู้สูญเสียชีวิตจำนวนมากถึง 91 ศพ และบาดเจ็บร่วม 2,000 คน ฝ่ายที่เห็นว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำต้องรับผิดชอบ เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เมื่อเกิดความสูญเสียชีวิตอย่างมาก จำเป็นต้องสืบหาผู้ผิด จึงไม่เหมาะสมที่นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดด้วยนั้น จะดำรงตำแหน่งต่อไป แต่ควรลาออก เพื่อเปิดทางให้มีคณะกรรมการที่มิได้มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาล เป็นผู้สืบสวนหาข้อเท็จจริง สำหรับฝ่ายที่เห็นว่า นายกรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบมองว่า การชุมนุมครั้งนี้แตกต่างจากการชุมนุมอื่นๆคือมีความรุนแรงและมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงอยู่  และรัฐบาลได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาระเบียบและกฎหมายอย่างดีแล้ว
ดูเหมือนว่าฝ่ายที่มองว่ารัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบนั้นจะมีข้อสรุปอยู่แล้วว่า ผู้ชุมนุมซึ่งมีความคิดที่แตกต่างจากรัฐบาลนั้นเป็นฝ่ายผิดอย่างแน่นอน และการดำเนินการต่างๆ ของรัฐบาลนั้นถูกต้องแล้ว หรือบ้างอาจให้เหตุผลว่า ในส่วนของรัฐบาลนั้น ต้องรอให้มีผลพิสูจน์ทราบก่อนว่าเป็นฝ่ายผิดจริง รัฐบาลถึงค่อยแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองได้ แต่สำหรับเหตุผลของฝ่ายที่มองว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมืองนั้น ไม่จำเป็นต้องมีข้อสรุปในชั้นนี้ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายถูกหรือผิดกฎหมาย ใครผิดใครถูกเป็นสิ่งต้องสืบหากัน ซึ่งหากผิดก็ต้องมีความรับผิดชอบทางกฎหมายอีกด้วย แต่หากในขณะที่จะมีการสืบหาข้อเท็จจริง รัฐบาลในฐานะคู่พิพาทยังครองอำนาจอยู่ ย่อมทำให้เกิดความคลางแคลงใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
จะมีหลักเกณฑ์อะไรที่จะบอกว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นสอง แนวทางดังกล่าวข้างต้นนั้น ความเห็นใดถูกต้อง หรือว่าที่จริงปัญหานี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาหลักเกณฑ์ได้ เป็นเรื่องการมองต่างมุมที่ไม่อาจมีข้อยุติ นอกจากนี้บางท่านยังอ้างว่า บริบทของสังคมไทยแตกต่างจากสังคมตะวันตก ดังนั้น หลักเกณฑ์ที่ใช้ย่อมแตกต่างกันด้วย
ผมคิดว่า หลักเกณฑ์ที่ควรใช้ในการพิจารณาสำหรับสังคมประชาธิปไตยหรือสังคมที่รัฐบาลต้องยึดโยงกับประชาชนคือ ความเสมอภาคของประชาชนในสังคมการเมืองนั่นเอง การที่ประชาชนมาอยู่ร่วมกันในรัฐนั้น พื้นฐานแรกสุดก็เพื่อต้องการมีชีวิตที่ได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ ความปลอดภัย และการให้ความคุ้มครองประชาชนนั้น รัฐต้องให้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ คิดถึงใจเขาใจเรา ประชาชนจึงจะมีความสุข หากรัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองประชาชนแล้วไซร้ ก็จำต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองก่อนในเบื้องต้น
ในครั้งที่เกิดเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีผู้สูญเสียชีวิต 2 ท่านนั้น ผู้ที่เวลานี้มีแนวคิดว่ารัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบกรณีเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 กลับเป็นผู้เรียกร้องให้รัฐบาลขณะนั้นต้องรับผิดชอบอย่างมาก[1] แต่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ บุคคลที่เคยสนับสนุนเหตุผลว่ารัฐบาลต้องรับผิดชอบ หากมีการสูญเสียชีวิตของประชาชน (อย่างตัวนายกอภิสิทธิ์) กลับเลือกที่จะไม่ใช้เหตุผลเดียวกัน หรือใช้มาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป
คำถามที่น่าพิจารณาคือ คุณค่าชีวิตของคนเราไม่เท่ากันใช่หรือไม่? คนที่คิดต่างจากกลุ่มคนเสื้อแดงชีวิตของเขามีค่ามากกว่าชีวิตของคนเสื้อแดงหรือ? หรืออาจสมมุติว่า ในอนาคตหากกลุ่มเสื้อแดงเป็นรัฐบาล แล้วกลุ่มคนหลากสีออกมาต้านแบบเดียวกับที่เสื้อแดงทำเมื่อเมษา-พฤษภา แล้วรัฐบาลเสื้อแดงใช้การสลายแบบเดียวกัน กลุ่มคนหลากสีจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร
การคิดอย่างตรงไปตรงมานี้น่าจะทำให้เลิกหลอกตนเองได้เสียทีว่า ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ร่วมกันได้เกี่ยวกับความรับผิดชอบของรัฐบาล.
 
________________________________
 
[1] พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบขณะนั้นได้ลาออกทันทีในวันดังกล่าว และต่อมา ป.ป.ช.มีมติให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) มีความผิดกรณีสั่งการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดย พล.ต.อ. พัชรวาท และ พล.ต..ท.สุชาติ ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง สำหรับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลังจากพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว วุฒิสภายังพยายามลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่งอีกด้วย

 

“ความบังเอิญ” เกี่ยวกับวันสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
           
วันที่ 10 เมษายน
วันนี้ใน พ.ศ. 2325 เป็นวันสวรรคตของพระเจ้ากรุงธนบุรี (จากหนังสือของศาสตราจารย์นิธิ   เอียวศรีวงศ์ เรื่อง การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี, (กรุงเทพฯ : มติชน,2543) หน้า 556 ซึ่งนิธิ อ้างข้อมูลจากประชุมพงศาวดารภาคที่ 8 (จดหมายเหตุโหร) เนื่องจากในยุคนั้น โหรเปรียบได้กับนักวิชาการที่มุ่งหาข้อเท็จจริง หลักฐานการบันทึกดังกล่าวจึงน่าจะถูกต้อง)
 
วันที่ 19 กันยายน
วันที่ 19 กันยายน 2549 (19/9/49) ที่เกิดรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณนั้น ในวันดังกล่าวเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น (19/9/19) จอมพลถนอม กิตติขจร ได้เดินทางกลับประเทศไทยและมาบวชที่วัดบวรนิเวศ ซึ่งเป็นชนวนนำไปสู่การต่อต้านของนักศึกษา และเพียง 17 วันหลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 การล้อมปราบสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
 
ข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดร่วมของสถานการณ์คืนก่อน 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553
 
ได้มีโอกาสดูข่าวย้อนหลังในเน็ตเกี่ยวกับการแถลงของนายกอภิสิทธิ์ในดึกวันที่ 9 เมษายน 2553 ยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ใช้กำลังสลายประชาชน แต่ปรากฏว่าในวันที่ 10 เมษายนในเวลากลางคืน ได้มีการบุกเข้ามาสลายในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากก่อนหน้าทั้งวันได้มีความพยายาม และประกาศชัดว่า หากไม่สำเร็จ จะยุติใน 18.00 น.  ซึ่งเมื่อก่อนมืดค่ำ กำลังทหารก็ได้ถอนไปจริง แต่จากนั้นมีกำลังใหม่เข้ามา พร้อมรถถังหุ้มเกราะจำนวนมาก
 
ดึกวันที่ 18 พฤษภาคมก็เช่นกัน สถานการณ์ดูเหมือนคลี่คลายในทางที่ดีเมื่อตัวแทน สว. ได้พยายามเป็นตัวกลางช่วยให้มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลและ นปช. แต่แล้วเช้ามืดวันที่ 19 เหตุการณ์ก็พลิกผันอย่างรวดเร็ว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net