Skip to main content
sharethis

 เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 พ.ค. นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ข่าวแต่ละวันไม่เหมือนกัน ยิ่งกลุ่ม นปช.รียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ เป็นเหมือนการฟื้นฝอยหาตะเข็บเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ยังไม่จบ และเป็นเรื่องที่นำมาอ้างกันได้ ดังนั้นควรดูที่หลักการในแผนปรองดอง 5 ข้อที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้เป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่ดูแล้วปฏิบัติได้ และมีการแลกเปลี่ยนกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีกระแสข่าว มี 38 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีบางโรงเรียนสอดแทรกเนื้อหาที่เป็นลบต่อสถาบันฯ จะมีการสั่งการตรวจสอบอย่างไร นายชวรัตน์ ตอบว่า ยังไม่ได้รับข่าวนี้ แต่ถ้าข่าวนี้จริง เป็นเรื่องน่าวิตก และจะกำชับให้ ผวจ.สั่งทางศึกษาจังหวัดให้เร่งตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการควรเข้าไปควบคุมให้มากกว่านี้ โดยกระทรวงมหาดไทยจะเข้าไปร่วมด้วยในนโยบายปกป้องสถาบันควบคู่กันไป 

เมื่อถามว่า มีการประเมินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลว่า แกนนำกลุ่ม นปช.สายฮาร์ดคอร์ จะมีการลอบยิงกันเองเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ยืดการชุมนุมออกไป นายชวรัตน์ตอบว่า ไม่ทราบ ตนไม่ได้ไปแถวนั้น เมื่อถามว่า หากแผนปรองดอง 5 ข้อไม่สำเร็จ รัฐบาลจะมีแผนการสำรองอื่นไว้ดำเนินการหรือไม่ นายชวรัตน์ตอบว่า นายกฯยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ระบุว่า ให้วันที่ 12 พ.ค.เป็นวันดีเดย์ของการยุติการชุมนุม และต้องดูว่าหากครบวันนี้แล้ว นายกฯจะมีการดำเนินการสั่งการอะไรต่อไป ส่วนจะมีการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมหรือไม่นั้น อยู่ที่นายกฯตัดสินใจ แต่กลัวว่าภายในสัปดาห์นี้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น หวังว่าคงไม่มี

วันเดียวกัน นายชวรัตน์ กล่าวในการประชุมกระทรวงมหาดไทยว่า ขอกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องของสิทธิและหน้าที่ของ พลเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงตรง และยับยั้งการกระทำผิดให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สังคมไทยกลับมาสู่ความสามัคคี โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย โดยกระทรวงมหาดไทยเดินหน้านโยบายบายปกป้องสถาบัน เพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ และมอบหมายให้กรมการปกครองจัดทำโครงการอาสาสมัครป้องกันสถาบันขึ้น เพื่อเป็นพลังในการเฉลิมพระเกียรติ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความสามัคคีให้กับประชาชน

ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ดีขึ้น แผนการปรองดองยังไม่บรรลุเป้าหมาย ผวจ.จะต้องเข้มข้นในการเฝ้าระวังการบุกรุกสถานที่ราชการ อย่าประมาท โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการตั้งเวทีปราศรัยใกล้ศาลากลางจังหวัดนั้น สามารถทำได้ตามสิทธิเสรีภาพ แต่ต้องระวัง หากมีการตั้งใกล้ศาลากลางจังหวัด ผวจ.ต้องพิจารณาทบทวน เพราะหากมีการเป่านกหวีดจากเวทีใหญ่ที่ราชประสงค์ ผู้ชุมนุมอาจบุกรุกเข้าศาลากลางจังหวัดได้ จะต้องสนธิกำลังเพื่อรักษาสถานที่ราชการ

ขณะที่นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีรายงานการขนมวลชนในต่างจังหวัด เข้ามาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ว่า ยังคงมีอยู่ แต่ประเมินตัวเลขได้ยาก เพราะมีประชาชนที่เดินทางเข้ามาร่วมชุมนุม ขณะเดียวกันก็มีผู้เดินทางกลับไป ซึ่งจากรายงานทราบว่า จำนวนผู้ชุมนุมลดลงไปกว่าเมื่อช่วงที่มีการนัดชุมนุมใหญ่ จึงไม่อยู่ในจุดที่น่าห่วงใย และแต่ละจังหวัดก็ไม่มีการเฝ้าระวังพื้นที่ใดเป็นพิเศษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ศอฉ.ได้เชิญผวจ. 38 จังหวัดจากภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มาร่วมประชุมที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.)

สั่งตั้งอาสาสมัคร 8.7แสนคนทั่วประเทศเป็นพลังปกป้องสถาบัน

มติชนออนไลน์ รายงานว่าในการประชุมกระทรวงมหาดไทย ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกลผ่านดาวเทียม(วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์) ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ วันที่ 12 พฤษภาคม นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ  ลงพื้นที่ ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ในเรื่องของสิทธิ และหน้าที่ของพลเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิ ของผู้อื่น รวมทั้ง กำชับให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเที่ยงตรง และยับยั้งการกระทำผิดให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สังคมไทย กลับมาสู่ความสามัคคี โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย

"กระทรวงมหาดไทย ยังคงเดินหน้านโยบายบายปกป้องสถาบัน เพื่อเสริมสร้างความสมานฉันท์ โดยจะไปร่วมกิจกรรมตามจังหวัดต่าง ๆ  ได้มอบหมายให้กรมการปกครอง จัดทำ โครงการอาสาสมัครป้องกันสถาบันขึ้น  เพื่อเป็นพลังในการเฉลิมพระเกียรติ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความสามัคคีให้กับประชาชน ขอให้จังหวัดดำเนินการ ให้มีอาสาสมัครปกป้องสถาบัน อำเภอละไม่น้อยกว่า 1,000 คน ทำให้เราจะมีอาสาสมัครฯ ประมาณ 878,000 คน ไว้เป็นพลังสำคัญในการปกป้องสถาบันต่อไป

ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่ดีขึ้น แผนการปรองดองยังไม่บรรลุเป้าหมาย ผู้ว่า ฯจะต้องเข้มข้นในการเฝ้าระวังการบุกรุกสถานที่ราชการ อย่าประมาท โดยเฉพาะจังหวัดที่การตั้งเวทีปราศรัย ใกล้ศาลากลางจังหวัด นั้น สามารถทำได้ ตามสิทธิ์เสรีภาพ แต่ต้องระวังหากมีการตั้งใกล้อยู่อยู่ในศาลากลางจังหวัด  ผู้ว่าฯ ต้องพิจารณาทบทวน เพราะหากมีการเป่านกหวีดจากเวทีใหญ่ที่ราชประสงค์ ผู้ชุมนุมอาจบุกรุกเข้าศาลากลางจังหวัด ได้ ผู้ว่าฯ จะต้องสนธิกำลังเพื่อรักษาสถานที่ราชการ

นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า หากให้ผู้ว่าฯมั่นใจว่า หากท่านทำงานเพื่อประโยชน์ และเพื่อประเทศชาติกระทรวงมหาดไทยจะปกป้องดูแลท่าน ขออย่าได้หวั่นไหว ให้เดินหน้าทำงานในเรื่องที่เป็นประโยชน์ และเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ในฐานะที่ตนเป็นคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)มีข้อ สั่งการไปยังท่าน ให้ติดตามพฤติกรรมของวิทยุชุมชนในจังหวัด อย่าให้มีการพาดพิงสถาบัน และไม่ใช้มีการปลุกปั่นยั่วยุ หากผู้ว่าฯไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับมวลชนในจังหวัด ให้แจ้งมายังศอฉ. และทางศอฉ. จะส่งหน่วยปราบปรามไปดูแลให้

ไอซีทีฉวยจังหวะการเมืองแรงตะลุยของบฯด้านไอทีซีเคียวริตี้กว่า 200 ล้านบาทไล่ล่าและสกัดกั้นเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน 

 ด้านประชาชาติธุรกิจรายงานว่าแหล่งข่าวจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในรอบ1 ปีที่ผ่านมากระทรวงได้ใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาด้านไอทีซีเคียวริตี้และการป้องกันภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก โดยนับตั้งแต่เดือน พ.ค.2552 มีการใช้งบฯกว่า196 ล้านบาท ทั้งการวางระบบ จ้างที่ปรึกษา จัดฝึกอบรมบุคลากร ซึ่งเฉพาะไตรมาสแรกของปีนี้มีการใช้งบฯไปแล้วกว่า81.4 ล้านบาท และขณะนี้กำลังเปิดขายซองเพื่อจัดซื้อจัดจ้างในโครงการรพัฒนาระบบการสืบสวนและพิสูจน์หลักฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยราคากลาง43.96 ล้านบาทโดยมีกำหนดจะอีออกชั่นหาผู้ชนะการประมูลในวันที่10 มิ.ย.นี้

"ยอมรับว่า โครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงด้านไอทีซีเคียวริตี้ยังต้องการพัฒนา แต่ปัญหาที่กระทรวงต้องเจอในขณะนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณไม่ทันตามกรอบเวลา เนื่องจากการวางระบบงานด้านซีเคียวริตี้มีความซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการติดตั้งพอสมควร เช่นเดียวกับการอบรมบุคลากรด้านนี้ ก็ต้องใช้เวลา จึงจะเกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้เสร็จ ๆ เพื่อให้เบิกเงินงบประมาณได้"

ที่สำคัญ คืองบประมาณในส่วนนี้มีหลายโครงการเป็นงบฯพิเศษ ที่ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ขอไปยังสำนักงบประมาณ โดยอ้างถึงความจำเป็นในการปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน จึงทำให้มีหลายโครงการมีความซ้ำซ้อนกับโครงการปกติ ที่กระทรวงได้ขอไปแล้ว โดยไม่จำเป็น แต่เนื่องจากการเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ สำนักงบประมาณจึงอนุมัติให้เต็มที่ เพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไม่สนับสนุนการดำเนินการของรัฐด้านความมั่นคง

"เช่นก่อนหน้านี้ กระทรวงมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่สืบสวนและพิสูจน์หลักฐานทางไอที ซึ่งดำเนินการปิดเว็บบล็อกเว็บไซต์มอนิเตอร์ภัยทางความมั่นคงที่มาทางอินเทอร์เน็ต เป็นสารวัตรไซเบอร์อยู่แล้วต่อมาก็ได้มีการของบฯเพื่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังภัยคุกคามด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือISOC ขึ้นมาอีก67 ล้านบาท พร้อมค่าเช่ารายปีอีก6 ล้านบาท"

และเมื่อ ก.ย.2552 ก็ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อครุภัณฑ์สำหรับโครงการจัดตั้งศูนย์สืบสวนและพิสูจน์หลักฐานทางเทคโนโลยี วงเงิน39.94 ล้านบาท พร้อมจัดอบรมบุคลากรภายใต้โครงการนี้อีก2.95 ล้านบาท

แหล่งข่าวกล่าวว่า โครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไอที ส่วนใหญ่เป็นการจัดจ้างด้วยวิธีการพิเศษ อาทิ เมื่อ19พ.ค.52 ได้ทำสัญญาจ้างดำเนินงานโครงการตรวจสอบและพัฒนาระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบไอซีทีกลางกับบมจ.กสท โทรคมนาคมมูลค่า2.5 ล้านบาท เมื่อ31 มี.ค.53 ได้ทำสัญญาจ้างดำเนินการโครงการพัฒนาระบบความมั่นคงและปลอดภัยทางไอที กับ บมจ.อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสิรช คอร์ปอเรชั่นวงเงิน53.4 ล้านบาท พร้อมทำสัญญาจ้างที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไอที และพัฒนาแนวทางรับมือกับภัยไอทีกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มูลค่า28 ล้านบาท เมื่อสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา

"เวลานี้ งบประมาณปี2552 ของหลายโครงการยังไม่ได้เบิกจ่าย เพราะยังติดตั้งระบบไม่เสร็จตามทีโออาร์ แต่งบฯปี2553 ก็เร่งให้จัดซื้อจัดจ้าง แถมยังมีคำสั่งให้ของบประมาณในปี2554 เพิ่มอีก70 กว่าล้านบาท เพื่อดูแลเรื่องการป้องกันภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ จึงเป็นที่น่ากังวลว่า เมื่อใกล้ถึงกำหนดต้องส่งคืนเงินงบประมาณจะรีบเร่งให้มีการจัดซื้อจัดจ้างโดยที่รัฐไม่ได้ประโยชน์สูงสุด"

 

ที่มาข่าว: เว็บไซต์ไทยรัฐ, มติชนออนไลน์, ประชาชาติธุรกิจ

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net