เมื่อวันที่ 28 ส.ค. มูลนิธิไฮน์ริคเบิลล์ สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดการเสวนาเนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี ในหัวข้อ “นักข่าวพลเมือง : ศักยภาพในการกำหนดวาระทางการเมือง-สังคมกับความท้าทายที่เกิดขึ้น” ขึ้นที่มูลนิธิไฮน์ริคเบิลล์ ฯ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี น.ส.โสภิดา วีรกุลเทวัญ ผู้ประสานงานโปรแกรมสื่อเพื่อประชาธิปไตย มูลนิธิไฮน์ริคเบิลล์ฯ เป็นผู้ดำเนินรายการ มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน น.ส.นันทา เบญจาศิลารักษ์ บรรณาธิการสำนักข่าวประชาธรรม และนายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท
โสภิดา วีรกุลเทวัญ ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ได้เปิดการอภิปรายโดยเริ่มจากประเด็นว่า กลุ่มคนที่ทำหน้าที่นักข่าวพลเมืองนั้นคือใคร โดย นันทา เบญจาศิลารักษ์ บรรณาธิการสำนักข่าวประชาธรรม ได้ให้ข้อมูลว่า เรื่องแนวคิดของนักข่าวพลเมืองนั้นมีการพูดถึงกันมานานแล้ว แต่ไม่ได้มีการเรียกว่านักข่าวพลเมือง โดยคำดังกล่าวนั้นมาเป็นที่รู้จักกันในสังคมเมื่อทีวีไทยได้มีการเปิดพื้นที่ให้คนทั่วไปสามารถรายงานข่าวได้
สำหรับองค์ประกอบที่ทำให้เกิดนักข่าวพลเมืองนั้น นันทา ได้กล่าวว่า ที่จริงแล้วนักข่าวพลเมืองนั้นเติบโตมาพร้อมกับการมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 อย่างเช่น กลุ่ม Esaanvoice กลุ่มไทยปักษ์ใต้ ส่งผลให้เกิดการทำข่าวในส่วนที่ไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อน ฉะนั้นข่าวที่ไม่เคยเป็นข่าวจึงปรากฏสู่สังคมมากขึ้น ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่รายงานข่าวเหล่านั้นก็คือกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนหรือองค์กรภาคประชาชน
ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการสำนักข่าวประชาไท กล่าวเห็นด้วยในประเด็นดังกล่าว และกล่าวถึงความหมายของนักข่าวพลเมือง ซึ่งเคยจำกัดอยู่กับผู้ที่ทำหน้าที่สื่อข่าวภาคประชาชน เช่น ข่าวจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของรัฐ แต่ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำให้ไม่สามารถที่จะจำกัดได้ว่า นักข่าวพลเมืองคือภาคประชาชนเท่านั้น เพราะไม่จำเป็นว่า ต้องเป็นคนชายขอบเท่านั้นที่จะต้องมารายงานข่าว แต่อาจเป็นคนกลุ่มต่างๆ ที่เสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะสิทธิทางการเมืองที่เข้ามารายงานข่าวสารที่ถูกปิดกั้น
ด้าน รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจุบันตนยังอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม สื่อทางเลือกอย่างประชาไท ประชาธรรมนั้น ต้องยอมรับว่า เป็นการเปิดพื้นที่ให้คนส่วนน้อยได้เข้ามาสื่อสาร แต่ก็มีคำถามว่า มันสามารถผลักดันหรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน โดยยกตัวอย่างสำนักข่าวประชาธรรมในช่วงแรกๆ นั้น อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้พยายามที่จะนำข่าวของสำนักข่าวประชาธรรมไปขายกับสื่อกระแสหลักเพื่อให้เข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ เพราะสื่อทางเลือกนั้นอาจจะไม่สามารถสร้างกระแสได้ ทำให้การส่งผ่านข้อมูลความรู้ทำได้จำกัดในวงแคบๆ
สำหรับประเด็นนี้ ทางชูวัส บรรณาธิการสำนักข่าวประชาไทกล่าวเห็นด้วยอีกเช่นกัน โดยอธิบายว่า นักข่าวพลเมืองนั้นมีศักยภาพ แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง วันนี้อินเทอร์เน็ตยังจำกัดวงอยุ่แค่ชนชั้นกลาง ยังไปไม่ถึงชาวบ้าน และปัจเจกในเมืองไทยก็ยังไม่สามารถขับเคลื่อนอะไรได้ แม้เราจะเห็นได้ในต่างประเทศที่มีการแสดงออกซึ่งแรงกดดันอย่าง flash mob แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่เคยเกิดหรือเห็นผลในเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม นันทา บรรณาธิการสำนักข่าวประชาธรรม กล่าวเสริมเห็นว่า ต้องมีกลไกที่ทำให้ข่าวเล็กๆ มีความเกี่ยวพันกับเรื่องอื่นๆ เรียงร้อยให้เป็นภาพใหญ่ ซึ่งหากไม่มองแค่กรณีอินเทอร์เน็ต ก็อาจจะมีกรณีวิทยุชุมชนบ้านกรูดที่สร้างญัตติสาธารณะในพื้นที่ได้ ส่วนประเด็นเรื่องเพดาน เรื่องเสรีภาพของนักข่าวพลเมืองนั้น นันทา ได้ให้ข้อมูลว่า การทำข่าวภาคประชาชนอย่างสำนักข่าวประชาธรรมเอง ก็มีหลักวิชาการเหมือนกัน ต่างกันแค่คนรายงานเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งก็โดนสื่อกระแสหลักมองว่าไม่น่าเชื่อถือ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)