Skip to main content
sharethis

อัยการสูงสุดของเยอรมนีปฏิเสธไม่สืบสวนอาชญากรรมร้ายแรงในพม่า ฐานก่ออาชญากรรมอันร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง ด้านฟอร์ตี้ฟายไรต์มุ่งมั่นทำงานยุติการลอยนวลพ้นผิดต่อไป

30 พ.ย. 2566 สำนักงานอัยการสูงสุดแห่งสหพันธรัฐเยอรมนีมีคำสั่งไม่ดำเนินการสืบสวนกรณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ที่เกิดขึ้นในพม่า ตามคำร้องความยาว 215 หน้า ที่ฟอร์ตี้ฟายไรต์และผู้ร้องจากพม่า 16 คน ได้ยื่นต่อพนักงานอัยการเมื่อเดือน ม.ค. ฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าวในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ในวันนี้ (30 พ.ย.)

ตาม คำร้อง ที่ยื่นเมื่อเดือน ม.ค. 2566 ภายใต้หลักการเขตอำนาจศาลสากล (Universal Jurisdiction) กล่าวหาว่านายพลทหารระดับสูงของกองทัพพม่าและบุคคลอีกจำนวนหนึ่ง มีส่วนรับผิดชอบในการกระทำอันเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงครามต่อชาวโรฮีนจาในปี 2559 และ 2560 รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นทั่วประเทศภายหลังการทำรัฐประหารของกองทัพพม่า เมื่อเดือน ก.พ. 2564

“การตัดสินใจของพนักงานอัยการเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง” แมทธิว สมิธ ประธานคณะกรรมการบริหารของฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าว “เรายังคงมั่นใจในน้ำหนักของพยานหลักฐาน และเหตุผลทางกฎหมายที่สนับสนุนคำร้องนี้ อันที่จริงแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดเยอรมนีได้ระบุอย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจของพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารัตถะหรือน้ำหนักของพยานหลักฐานในคดี” 

สำนักงานอัยการสูงสุดแห่งเยอรมนีได้แจ้งให้ฟอร์ตี้ฟายไรต์ทราบเมื่อเดือนที่แล้ว ถึงคำสั่งไม่ทำการสืบสวนคดี โดยอ้างเหตุผลหลักคือ กลุ่มผู้ต้องสงสัยไม่ได้อยู่ในเยอรมนี และมีความเชื่อว่าการสืบสวนจะเป็นการทำงานที่ซ้ำซ้อนกับกลไกสอบสวนอิสระกรณีเมียนมา (“IIMM”) ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน

“ตอนที่ยื่นคำร้อง เรารู้อยู่แล้วว่า พลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย และบุคคลอื่นที่ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมอันโหดร้ายในเมียนมา ไม่ได้อยู่ในเยอรมนี ซึ่งตามกฎหมายเยอรมนีไม่ได้กำหนดให้ที่อยู่ของผู้ต้องหาเป็นเงื่อนไขในการสืบสวนคดี เราไม่คาดคิดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้พนักงานอัยการตัดสินใจไม่สืบสวนข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ได้นำเสนอไปแล้ว” แมทธิว สมิธกล่าว “เรายังตระหนักว่า กลไก IIMM นั้นกำลังดำเนินการอย่างแข็งขัน เพื่อรวบรวมและเก็บรักษาพยานหลักฐาน และเราก็คาดหวังว่าทางการเยอรมนีจะใช้ และให้น้ำหนักกับการทำงานของกลไก IIMM เพื่อการสั่งฟ้องคดีในอนาคต ซึ่งนั่นเป็นจุดประสงค์หลักของกลไก IIMM คำสั่งอัยการบางส่วนดูเหมือนว่าจะขัดกับเป้าหมายของหลักการเขตอำนาจศาลสากลของเยอรมนีเสียเอง”

พนักงานอัยการได้ยกกรณีที่มินอ่องหล่ายและผู้กระทำผิดที่มีรายชื่อในคำร้องไม่ได้อยู่ในเยอรมนี เป็นปัจจัยชี้ขาดในคำตัดสิน อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทำให้เห็นแล้วว่า บุคคลที่มีส่วนรับผิดชอบต่ออาชญากรรมอันโหดร้าย มักลอยนวลรอดพ้นจากการจับกุม กระทั่งเมื่อลมทางการเมืองเปลี่ยนทิศ และเงื่อนไขต่าง ๆ เปลี่ยนไป จึงจะนำตัวพวกเขาเข้าสู่กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กระบวนการไต่สวน ตลอดจนได้รับโทษในชั้นศาลได้ ฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าว

กฎหมายเยอรมนียังมีช่องทางที่จำกัดในการอุทธรณ์คำสั่งตามดุลพินิจของพนักงานอัยการ ที่จะไม่สั่งสืบสวนหรือไม่สั่งฟ้องคดี ตามนัยของมาตรา 153f ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่างไรก็ดี กลุ่มรณรงค์หลายฝ่ายในเยอรมนี เช่น ศูนย์ยุโรปเพื่อรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชน (ECCHR) ต่างมีข้อเสนอแนะให้ปฏิรูปกฎหมายเพื่อให้สามารถทำการอุทธรณ์ทบทวนคำสั่งของอัยการได้

“แม้เราจะผิดหวังอย่างมาก แต่การตัดสินใจของพนักงานอัยการเน้นให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีการดำเนินงานระหว่างประเทศอย่างแท้จริง เพื่อจะนำมาซึ่งการฟ้องคดีต่ออาชญากรรมที่กำลังเกิดขึ้นในพม่า” แมทธิว สมิธกล่าว “เราขอขอบคุณพนักงานอัยการที่ชี้แจงว่า รัฐบาลเยอรมนีอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อรวบรวมและเก็บรักษาพยานหลักฐานเกี่ยวกับอาชญากรรมในพม่า และการตัดสินใจของพนักงานอัยการไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับน้ำหนักของพยานหลักฐานที่เราได้เสนอไป เราจะยังคงดำเนินงานต่อไปเพื่อให้เกิดความรับผิดต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่เกิดขึ้นในพม่า ซึ่งตอนนี้ เรากำลังอยู่ระหว่างการผลักดันยุทธศาสตร์ใหม่ร่วมกับผู้รอดชีวิตและบุคคลอื่น ๆ ในประเด็นดังกล่าว ทีมของฟอร์ตี้ฟายไรต์กำลังขยายตัว และเรามีความแน่วแน่มากขึ้นที่จะยุติและเยียวยาแก้ไขความทารุณโหดร้ายเช่นนี้”

ในบรรดาผู้ร้อง 16 คนซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องนี้ต่อเยอรมนี ร่วมกับฟอร์ตี้ฟายไรต์ ครึ่งหนึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจาก การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา และ “ปฏิบัติการกวาดล้าง” ของกองทัพพม่าในรัฐยะไข่ในปี 2559 และ 2560 ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากอาชญากรรมอันโหดร้ายภายหลังการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นตามรัฐและภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศระหว่างปี 2564 และ 2565  

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลมีส่วนปลุกความเกลียดชังต่อชาวโรฮีนจาในพม่า การยื่นคำร้องตามหลักการเขตอำนาจศาลสากลคดีนี้ จึงถือเป็นความพยายามแสวงหาความยุติธรรมครั้งแรก ๆ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างชาวโรฮีนจาและผู้รอดชีวิตจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในเมียนมา โดยผู้ร้องประกอบด้วยผู้หญิงหกคน และผู้ชาย 10 คน รวมทั้งชาวอาระกัน (รัฐยะไข่), ชาวพม่า, ชาวชิน, ชาวกะเหรี่ยง, ชาวคะเรนนี, ชาวมอญ และชาวโรฮีนจา โดยหากสำนักงานอัยการสูงสุดเริ่มการสอบสวนและสั่งฟ้องคดีนี้ กระบวนการดังกล่าวย่อมจะถือเป็นการฟ้องคดีเป็นครั้งแรกต่ออาชญากรรมที่กองทัพกระทำต่อชาวโรฮีนจาในปี 2559 และ 2560 และอาชญากรรมที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ภายหลังการทำรัฐประหารที่โหดร้ายในเดือน ก.พ. 2564

ผู้ยื่นคำร้องสองคนในคดีนี้ ได้แก่ “M.K.” (ไม่ใช่ตัวย่อของชื่อจริง) และนิกกี ไดอามอนด์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเยอรมนี และมีทนายความชาวเยอรมันที่ช่วยว่าความตามคำร้องนี้

ไม่มีเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการยื่นคำร้องตามเขตอำนาจศาลสากล ทั้งในเยอรมนีหรือที่อื่น ๆ ในอนาคต ฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าว

อาชญากรรมที่ผู้กระทำลอยนวลพ้นผิดอย่างสิ้นเชิงในพม่า ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับการสังหาร การข่มขืนกระทำชำเรา การทรมาน การคุมขัง การทำให้สูญหาย การประหัตประหาร และการกระทำอย่างอื่นที่ถือว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในวันนี้ ฟอร์ตี้ฟายไรต์เรียกร้องให้รัฐภาคีสหประชาชาติ “ใช้มาตรการที่เป็นผล รวมทั้งประสานงานระหว่างรัฐบาล ยุติอาชญากรรมที่โหดร้ายเหล่านี้เพื่อจับกุมบุคคลที่รับผิดชอบ และเพื่อเอาผิดกับพวกเขา”

พยานหลักฐานที่รวบรวมและมีบันทึกข้อมูลในคำร้องที่ถูกยกครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า ฟอร์ตี้ฟายไรต์จะนำส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับกลไก IIMM และช่องทางอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยทั้งหมดจะต้องได้รับคำอนุญาตจากผู้ร้องและจะดำเนินการด้วยความเหมาะสม เพื่อให้มีการเก็บรักษา และหากเป็นไปได้เพื่อเอาผิดกับผู้ก่ออาชญากรรมที่โหดร้ายเหล่านี้

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ในวันนี้ ฟอร์ตี้ฟายไรต์มีข้อสังเกตถึง “ปัญหาการลอยนวลพ้นผิดอย่างต่อเนื่องของกองทัพพม่าต่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ รวมทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ที่กระทำต่อ “พลเรือนผู้บริสุทธิ์หลายล้านคน” ซึ่งตอนท้ายของแถลงการณ์ระบุว่า “ฟอร์ตี้ฟายไรต์มีเจตจำนงที่จะใช้ช่องทางทุกอย่างที่มีอยู่” เพื่อประกันให้เกิดความรับผิด “อย่างรวดเร็วและเป็นผล”

Covington & Burling LLP ซึ่งมีสำนักงานที่กรุงวอชิงตันดีซี เยอรมนี และที่อื่น ๆ เป็นทนายความให้กับฟอร์ตี้ฟายไรต์ในการนี้

รายละเอียดและข้อมูลพื้นฐานเพิ่มเติม

เขตอำนาจศาลสากล เป็นหลักการด้านกฎหมาย ซึ่งให้อำนาจกับรัฐในการสั่งฟ้องคดีต่อบุคคลที่รับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ทารุณในวงกว้าง รวมทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม ไม่ว่าอาชญากรรมนั้นจะเกิดขึ้นที่ใด หรือไม่ว่าผู้กระทำความผิดหรือผู้เสียหายเป็นบุคคลสัญชาติใด เขตอำนาจศาลสากลเป็นหลักการที่มักใช้กับ “อาชญากรรมระหว่างประเทศ” ซึ่งมีความร้ายแรงอย่างมาก จนถือได้ว่าเป็นความผิดต่อประชาคมระหว่างประเทศทั้งมวล 

ในวันที่ 20 ม.ค. 2566 ฟอร์ตี้ฟายไรต์ และผู้รอดชีวิต 16 คนจากกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มในพม่า ได้ยื่น คำร้องคดีอาญาต่อสำนักงานอัยการสูงสุดของเยอรมนี ตามหลักการเขตอำนาจศาลสากล เพื่อเอาผิดกับนายพลทหารระดับสูงของพม่าและบุคคลอื่น ในข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ คำร้องความยาว 215 หน้า และภาคผนวกความยาวกว่า 1,000 หน้าครอบคลุมพยานหลักฐาน เพื่อสนับสนุนการสอบสวนและการฟ้องคดีของสำนักงานอัยการสูงสุด ต่อผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงครามต่อชาวโรฮีนจาในปี 2559 และ 2560 รวมทั้งอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารของรัฐบาลหทารพม่าในวันที่ 1 ก.พ. 2564

ในวันที่ 11 ต.ค. 2566 สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งต่อฟอร์ตี้ฟายไรต์ว่า จะไม่ดำเนินการสอบสวนตามอาชญากรรมที่กล่าวหาในคำร้อง ในจดหมายของพนักงานอัยการระบุถึงเหตุผลสำคัญสองประการที่ไม่ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ ซึ่งล้วนแต่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักของพยานหลักฐานที่เราได้เสนอไป

โดยหลักแล้ว พนักงานอัยการใช้ดุลพินิจในการสั่งฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมต่อกฎหมายระหว่างประเทศเยอรมนี ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรา 153f ย่อหน้า 1 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งกล่าวว่า พนักงานอัยการอาจไม่รับฟ้อง กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้อยู่ในเยอรมนี และไม่คาดว่าจะได้มาอยู่ในเยอรมนี นอกจากนั้น พนักงานอัยการยังกล่าวถึงการสอบสวนที่กำลังดำเนินอยู่ของกลไก IIMM และมีข้อสังเกตว่า การสอบสวนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเยอรมนีจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติม พนักงานอัยการมีข้อสังเกตเป็นการเฉพาะว่า เยอรมนีได้ให้ความสนับสนุนต่อการดำเนินงานสอบสวนของ IIMM มาตลอด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net