Skip to main content
sharethis

องค์กรสิทธิมนุษยชน 'ฟอร์ตี้ฟายไรต์' เรียกร้องให้มีการสอบสวนการบังคับส่งกลับ-เร่งดำเนินการตามกลไกคัดกรองเพื่อป้องกันการส่งกลับ กรณีไทยส่งชาวพม่า 3 คน ให้รัฐบาลทหารพม่า

14 เม.ย. 2566 องค์กรสิทธิมนุษยชน 'ฟอร์ตี้ฟายไรต์' แจ้งข่าวว่าประเทศไทยควรสอบสวนเหตุตามรายงานว่า มีการบังคับส่งกลับชายชาวพม่าสามคน ซึ่งเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกทรมานหรือเสียชีวิตลงในเมียนมา และทางการไทยควรเร่งดำเนินการตามกลไกคัดกรองระดับชาติเพื่อป้องกันการส่งกลับในอนาคต ฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าวในวันนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานว่าทางการไทยผลักดันชายสามคนกลับไปเมียนมา และส่งมอบตัวให้กับกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกองทัพพม่า จากภาพถ่ายที่มีการวิเคราะห์โดยฟอร์ตี้ฟายไรต์ ผู้ชายทั้งสามคนถูกทางการไทยควบคุมตัว หลังจากนั้นพบว่าสองคนถูกมัดมือมัดเท้าและปิดตาอยู่ด้านหลังของรถยนต์ ซึ่งตามรายงานระบุว่าเป็นการควบคุมตัวโดยกองกำลังพิทักษ์ชายแดน  

“ควรมีการสอบสวนเหตุการณ์นี้โดยทันที ทางการไทยไม่ควรผลักดันชายเหล่านี้กลับไปพม่า ที่ซึ่งยังคงมีการทรมานและการประหัตประหารอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ” แพททริก พงศธร ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านการรณรงค์ ฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าว “มีความเสี่ยงอย่างมากที่ผู้ต่อต้านรัฐบาลทหารในพม่า จะต้องตกเป็นเหยื่อของการทรมานและการประหัตประหาร ประเทศไทยควรดำเนินการคัดกรองเพื่อป้องกันไม่ให้มีการส่งตัวผู้ใดกลับไปยังสถานการณ์ที่พวกเขาอาจเผชิญการทรมาน การประหัตประหาร และการละเมิดอื่น ๆ”

ฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้รับเอกสารที่รั่วไหลออกมา ซึ่งเชื่อว่ามาจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ของไทย ระบุรายละเอียดการส่งกลับชายทั้งสามคนและบุคคลอื่น เอกสารนี้ระบุว่า “บุคคลทั้ง 3 ราย ตามที่ปรากฏในข่าวสารที่ถูกส่งต่อ ได้ถูกหน่วยงานความมั่นคงของไทยควบคุมตัว เมื่อ 31 มี.ค. 2566 เวลาประมาณ 14.00 น. ณ จุดตรวจบ้านห้วยหินฝน ระหว่างที่กำลังโดยสารรถประจำทาง” ในเอกสารระบุชื่อชายทั้งสามคนว่าคือ นายซอเพียวเล อายุ 26 ปี, นายเต็ดเนวุน อายุ 31 ปี และนายโกตี้หะ อายุ 38 ปี เอกสารนี้ระบุต่อไปว่า “จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงดำเนินการส่งทั้ง 3 ราย มาที่ห้องกัก ตม.จว.ตาก ตั้งอยู่ที่ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อดำเนินการส่งตัวกลับ ตาม พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ... ต่อมาวันที่ 4 เม.ย. 2566 จึงได้ทำการผลักดันผู้ถูกจับ ทั้ง 3 ราย รวมกับผู้ต้องกักสัญชาติพม่ารายอื่น ๆ กลับไปยังเมียนมา”

เอกสารที่รั่วไหลออกมามีเนื้อหาสอดคล้องกับรายงานข่าวและโพสต์โซเชียลมีเดียจำนวนมาก ที่ระบุถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ รายงานข่าวยังกล่าวหาต่อไปว่า ทางการไทยผลักดันชายเหล่านี้กลับไปเมียนมาในทางเรือข้ามแม่น้ำเมย ใกล้กับหมู่บ้านอิงยินเมียอิงในรัฐกะเหรี่ยง พม่า โดยเชื่อว่าชายชาวพม่าทั้งสามคนเป็นทหารของกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่สนับสนุนประชาธิปไตย ทำให้มีความเสี่ยงอย่างมากที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับการทรมานและการประหัตประหารในพม่า

ฟอร์ตี้ฟายไรต์ไม่สามารถยืนยันได้เองว่า เอกสารดังกล่าวเป็นของสภาความมั่นคงแห่งชาติจริงหรือไม่ ทั้งไม่สามารถยืนยันที่อยู่และสถานะปัจจุบันของชายเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ดี เราได้วิเคราะห์จากภาพถ่ายทั้งสามใบ หนึ่งในนั้นปรากฏอยู่ในเอกสารที่รั่วไหลออกมาของสมช. ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนั้น ชายทั้งสามคนกำลังอยู่ใต้การควบคุมตัวของกองกำลังของไทย ส่วนในภาพต่อมา ฟอร์ตี้ฟายไรต์เชื่อว่าเป็นภาพขณะที่พวกเขาถูกควบคุมตัวโดยทหารของกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ในพม่า

ในภาพถ่ายใบหนึ่งที่ฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้มา เป็นภาพขณะที่ซอเพียวเล, เต็ดเนวุน และโกตี้หะ ถูกจับให้นั่งอยู่ในแถวหน้า โดยด้านหลังเป็นผู้ชายยืนอยู่เจ็ดคน แต่งกายด้วยชุดเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ชุดทหาร และตำรวจของประเทศไทย ป้ายที่อยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ไทยระบุว่า “ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก” เป็นภาษาไทยและอังกฤษ ฟอร์ตี้ฟายไรต์สามารถยืนยันได้ว่า ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางในภาพถ่าย คือ เต็ดเนวุนที่ถูกควบคุมตัว โดยเขาสวมกางเกงกีฬาขาสั้น และมีรอยสักเด่นชัดบนหน้าแข้งทั้งสองข้าง บนหน้าแข้งขวาเป็นภาพผู้หญิงใส่ชฎา และบนหน้าแข้งซ้ายเป็นลวดลายแบบชาวโพลีนีเซีย ในอีกภาพหนึ่งซึ่งฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้มา เรามีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าเป็นภาพที่ทหาร BGF ในพม่าถ่ายไว้ เป็นภาพของชายที่ถูกปิดตาสองคนถูกจับให้นอนทอดยาวบนเบาะและตรงที่วางเท้าด้านหลังของรถกระบะสีดำ พวกเขาถูกใส่กุญแจมือและล่ามโซ่เข้ากับที่จับมือภายในรถยนต์ ชายที่นอนอยู่บนเบาะด้านหลังไม่สวมรองเท้า ที่ข้อเท้ามีการล่ามตรวน และสามารถสังเกตเห็นรอยสักอย่างเด่นชัดบนหน้าแข้งของเขาทั้งสองข้าง ส่วนตรงเบาะคนขับด้านซ้าย มีเสื้อกั๊กแบบทหารสีกากีเข้มแขวนอยู่ 

สี่วันก่อนการจับตัวชายทั้งสามคน เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดหลักเกณฑ์กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่อาจขอรับความคุ้มครองตาม “กลไกคัดกรองระดับชาติ” (National Screening Mechanism) ซึ่งกลไกคัดกรองนี้จะช่วยป้องกันการส่งกลับ (refoulement) ได้ อย่างไรก็ดี ทางการไทยยังไม่ได้นำกลไกนี้ไปบังคับใช้ และฟอร์ตี้ฟายไรต์พบว่าในหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังคงมี ข้อยกเว้นการบังคับใช้ที่เป็นปัญหา โดยตามข้อปฏิบัตินี้ชี้ว่า มีเฉพาะบุคคลเพียงบางคนเท่านั้นที่จะสามารถขอรับการคุ้มครอง และมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในกระบวนการคัดกรองดังกล่าว

“แม้จะมีการประกาศพันธกิจ และมีกฎหมายที่ให้ความหวังอย่างชัดเจนเพื่อใช้ป้องกันการส่งกลับ ประเทศไทยยังคงบังคับส่งกลับบุคคลกลับไปสู่สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกทรมาน ประหัตประหาร และอาจถูกสังหาร” แพททริก พงศธรกล่าว “แม้ว่าปัจจุบันเรายังไม่ทราบชะตากรรมของชายหนุ่มทั้งสามคนนี้ แต่พวกเขาก็ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอยู่ในการควบคุมตัวของกองทัพพม่า ประเทศไทยควรเร่งดำเนินการตามกลไกคัดกรองระดับชาติเพื่อป้องกันการส่งกลับโดยด่วน”

ประเทศไทยมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในประเทศและระหว่างประเทศ ที่จะต้องป้องกันการบังคับส่งกลับ หรือ การส่งกลับ ข้อห้ามต่อการส่งกลับ ถือเป็นส่วนหนึ่งตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และมีผลบังคับใช้ต่อรัฐทุกแห่ง ตามหลักการดังกล่าว รัฐมีพันธกรณีจะต้องประเมินความเสี่ยงที่จะถูกทรมาน ประหัตประหาร หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงอื่น ๆ ก่อนจะดำเนินการให้ส่งตัวบุคคลไปยังประเทศอื่น หน้าที่ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการคุ้มครอง หรือร้องขอความคุ้มครองจากรัฐดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม นอกจากนั้น ดังที่มีการชี้แจงโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หลักการไม่ส่งกลับ ไม่เพียงมีผลบังคับใช้ต่อผู้ลี้ภัย แต่ “ยังมีผลบังคับใช้ต่อผู้เข้าเมืองทุกคนในทุกกรณี ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะของการเข้าเมืองอย่างไรก็ตาม”

มาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายของไทย ที่เพิ่งประกาศใช้ กำหนดว่า “ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย” มาตรา 12 ยังกำหนดเพิ่มเติมว่า “พฤติการณ์พิเศษใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงครามหรือภัยคุกคามที่จะเกิดสงคราม ความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินสาธารณะอื่นใด ไม่อาจนำมาอ้างเพื่อให้การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย”

ในเดือน ม.ค. 2566 ฟอร์ตี้ฟายไรต์และพลเมืองชาวพม่า 16 คน ได้ฟ้อง คดีอาญา กับสำนักงานอัยการสูงสุด สหพันธรัฐเยอรมนี ตามหลักเขตอำนาจศาลสากล เพื่อเอาผิดกับนายพลอาวุโสของกองทัพพม่าและบุคคลอื่น ในข้อหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ นับแต่กองทัพเมียนมาได้ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ฟอร์ตี้ฟายไรต์ยังมี บันทึกข้อมูลความทารุณโหดร้าย ของกองทัพพม่า โดยอาชญากรรมเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนหลบหนีออกจากพม่า และหลายคนเข้ามาแสวงหาความคุ้มครองในประเทศไทย

สืบเนื่องจากการทำรัฐประหารในพม่า รัฐบาลไทยได้ตรึงกำลังทหารเพิ่มขึ้นบริเวณพรมแดนเมียนมา-ไทย และ สั่งการให้หน่วยงานผลักดันผู้ลี้ภัย กลับไปเมียนมา ฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้มีการเก็บบันทึกข้อมูล การส่งกลับผู้ลี้ภัย จากประเทศไทยตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

“ต้องมีผู้รับผิดชอบในกรณีนี้” แพททริก พงศธรกล่าว “พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานฯ เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในกฎหมายของไทย แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านนโยบายและการปฏิบัติด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีกในอนาคต”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net