Skip to main content
sharethis

ศาลสูงบราซิลตัดสินสนับสนุนสิทธิในที่ดินของชนพื้นเมือง ยกเลิกข้อบังคับที่ระบุให้ชนพื้นเมืองอ้างสิทธิเหนือที่ดินหนึ่งได้ต้องอาศัยอยู่ที่นั่นก่อนเดือน ต.ค.ปี 2531 เป็นข้อบังคับที่เรียกว่า "marco temporal" (กรอบเวลา) ซึ่งเอื้อต่อการทำให้กลุ่มธุรกิจเข้ามายึดครองที่ดินของชนพื้นเมืองได้

 

29 ก.ย. 2566 ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของบราซิล 9 คนจาก 11 คน ตัดสินสนับสนุนสิทธิในที่ดินของชนพื้นเมือง โดยการยกเลิกข้อบังคับที่ระบุให้ชนพื้นเมืองต้องถือครองที่ดินก่อนช่วงเวลาที่กำหนดถึงจะสามารถอ้างสิทธิเหนือที่ดินนั้นได้

ข้อบังคับดังกล่าวนี้เรียกว่า "marco temporal" หรือ "กรอบเวลา" ซึ่งถูกมองว่าเป็นข้อบังคับที่เอื้อต่อการให้กลุ่มธุรกิจหรือกลุ่มเกษตรกรอ้างใช้ยึดครองที่ดินทำกินของกลุ่มชนพื้นเมืองในบราซิล

ข้อบังคับดังกล่าวกำหนดให้กลุ่มชนพื้นเมืองต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาอาศัยอยู่บนที่ดินนั้นมาตั้งแต่ก่อนหน้าวันที่ 18 ต.ค. 2531 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญบราซิลเริ่มประกาศบังคับใช้ พวกเขาถึงจะสามารถถือครองที่ดินเหล่านี้ได้

แต่กลุ่มชนพื้นเมือง, กลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ข้อบังคับนี้ว่า "ทำให้การรุกไล่ยึดครองที่ดินของกลุ่มชนพื้นเมืองกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย"

เรื่องนี้ทำให้คำตัดสินของศาลสูงสุดบราซิลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (21 ก.ย. 2566) ถูกยกให้เป็นชัยชนะของกลุ่มชนพื้นเมืองในบราซิล มีบางส่วนที่กล่าวแสดงความยินดีผ่านทางโซเชียลมีเดีย เช่น กลุ่มเซอร์ไววัล อินเตอเนชันแนล ระบุทางทวิตเตอร์ ว่า คำตัดสินในครั้งนี้เป็น "ชัยชนะครั้งสำคัญหลังจากที่ต่อสู้มาเป็นเวลาหลายปี"

เซอร์ไววัล อินเตอเนชันแนล เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนจากลอนดอนที่ทำประเด็นเรื่องสิทธิของชนพื้นเมือง ระบุว่า "กลุ่มชนพื้นเมืองของบราซิลและพันธมิตรของพวกเขาจากทั่วโลกกำลังเฉลิมฉลองชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ กลลวงข้ออ้างเรื่องการจำกัดเวลาที่ก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสร้างความเสียหายอย่างหนักถูกปฏิเสธโดยศาลสูงสุดแล้ว"

ซีเลีย ซาเกรียบา นักกิจกรรมชนพื้นเมืองซาเกรียบาในบราซิลแสดงความยินดีต่อคำตัดสินในครั้งนี้ โดยบอกว่า "ข้อบังคับ marco temporal ได้ถูกกลบฝังไปแล้ว" นับเป็น "ชัยชนะสำหรับกลุ่มชนพื้นเมือง" ซีเลียบอกอีกว่าแม้แต่ผู้พิพากษาที่มีปัญหาอย่าง กิลมาร์ เมนเดส ก็เข้าใจว่าชนพื้นเมืองก็ต้องการให้สิทธิของพวกเขาได้รับการรับรอง

ก่อนหน้านี้ เมนเดส เคยกล่าวให้ความชอบธรรมต่อการใช้ข้อบังคับ "กรอบเวลา" สำหรับกลุ่มชนพื้นเมือง โดยอ้างว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกันไม่รู้จบเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาก็เป็นหนึ่งในผู้พิพากษาเสียงข้างมากที่ออกเสียงสนับสนุนให้มีการยกเลิกข้อบังคับดังกล่าว

คำตัดสินของศาลในครั้งนี้จะส่งผลอย่างมากต่ออนาคตของ "กฎหมาย 490" ของบราซิล ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งเป้าจำกัดการจับจองกรรมสิทธิ์ที่ดินใหม่โดยกลุ่มชนพื้นเมือง กฎหมายดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มล็อบบี้ธุรกิจการเกษตร

ในวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา สภาล่างของรัฐสภาบราซิลผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนท่วมท้นอยู่ที่ 283 เสียงต่อ 155 เสียง จนทำให้เกิดการประท้วงเกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น การปิดถนนทางหลวงเพื่อประท้วง

ขณะที่กลุ่มประชุมลับของพรรคการเมืองฝ่ายธุรกิจการเกษตรในรัฐสภาบราซิลกล่าววิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลสูงสุดและประกาศว่าพวกเขาจะผลักดันร่างกฎหมาย 490 ต่อไปให้มีการผ่านร่างในวุฒิสภา พวกเขาแถลงว่า "พวกเราต้องการความมั่นคงทางกฎหมายต่อกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตในชนบท ศาลสูงสุดแค่กำลังส่งเสริมความป่าเถื่อนในชนบท ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางกฎหมายอย่างสิ้นเชิง"

จากข้อมูลสำมะโนประชากรล่าสุดของบราซิลระบุว่า บราซิลมีกลุ่มชนพื้นเมืองอยู่ 1.6 ล้านคน และพื้นที่บรรพบุรุษของชนพื้นเมืองเหล่านี้ก็เป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของพวกเขา

ทว่าแม้แต่ในเวลาที่ผู้พิพากษาเสียงข้างมากของศาลสูงสุดแถลงผลการพิจารณาคดี ก็ยังคงมีชนพื้นเมืองบราซิลจำนวนมากที่เคยถูกทำให้พลัดถิ่นจากพื้นที่อาณาเขตของตัวเองและจะยังคงเป็นผู้พลัดถิ่นต่อไป ซึ่งเป็นผลกระทบจากผู้มาตั้งรกรากใหม่และกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจ

สิ่งที่จุดชนวนให้เกิดการพิจารณาคดีในครั้งนี้คือกรณีการพลัดถิ่นในรัฐ ซานตา คาทารินา มีกลุ่มเกษตรกรยาสูบผลักให้ชนพื้นเมืองโซเกล็งถูกขับออกจากพื้นที่อาณาเขตของตัวเอง ชาวโซเกล็กได้เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นช่วยเหลือทวงคืนที่ดินของพวกเขากลับคืนมา ซึ่งทางรัฐบาลท้องถิ่นปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพวกเขา โดยอ้างว่ากลุ่มชนพื้นเมืองโซเกล็กไม่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นในปี 2531 ตามหลักข้อบังคับ "กรอบเวลา"

 

"สิทธิที่ดินของชนพื้นเมืองไม่ได้เริ่มต้นหรือจบลงโดยวันที่ถูกกำหนดจากภาครัฐ"

ตัวแทนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ที่เคยเรียกร้องเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขอให้บราซิลอย่าผ่านร่างกฎหมาย 490 ที่จะกระทบต่อสิทธิในที่ดินของชนพื้นเมืองที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในที่ดินเหล่านั้นก่อนหน้าปี 2531

มาเรีย ลอรา แคนินิว ผู้อำนวยการบราซิลของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า "สิทธิที่ดินของชนพื้นเมืองไม่ได้เริ่มต้นหรือจบลงโดยวันที่ถูกกำหนดจากภาครัฐ" และบอกอีกว่า "การผ่านร่างกฎหมายนี้ (490) จะกลายเป็นความล้าหลังอย่างไม่น่าเชื่อ จะกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และจะส่งสัญญาณว่าบราซิลนั้นไม่ได้ทำตามพันธกิจในการปกป้องคุ้มครองชุมชนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นกลุ่มที่ปกป้องผืนป่าได้ดีที่สุด"

บทวิเคราะห์ของบล็อก "อเมซอนวอทช์" เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา ระบุว่า ในบราซิลยังคงมีพื้นที่อาณาเขตของกลุ่มชนพื้นเมือง 120 แห่งที่กำลังรอการปักปันหรือการรับรองจากรัฐบาล มีพื้นที่ 77 แห่งที่ตกเป็นเป้าหมายการจับตามองของกลุ่มทำเหมืองแร่ที่มีการยื่นเรื่องขอเข้าถึงพื้นที่เหล่านั้นต่อสำนักงานเหมืองแห่งชาติบราซิล 736 ฉบับ

อเมซอนวอทช์ระบุว่า ถ้าหากพื้นที่เหล่านี้ได้รับการยอมรับให้สามารถเข้าไปทำเหมืองได้ มันก็จะไม่เพียงแค่เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มบรรษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำเหมืองแร่แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังจะกลายเป็นความสูญเสียแบบไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ต่อสิทธิของชนพื้นเมือง ต่อป่าอเมซอนซึ่งเปรียบเสมือนเป็นปอดของโลก และต่อพื้นที่อาณาเขตของชนพื้นเมือง 77 แห่งที่ยังคงไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลบราซิล

 

 

เรียบเรียงจาก

Brazil’s top court rules in favour of Indigenous rights in land claim case, Aljazeera, 22-09-2023

https://www.aljazeera.com/news/2023/9/22/brazils-top-court-rules-in-favour-of-indigenous-rights-in-land-claim-case

Brazil: Reject Harmful Bill on Indigenous Rights, Human Rights Watch, 29-05-2023

https://www.hrw.org/news/2023/05/29/brazil-reject-harmful-bill-indigenous-rights

Brazil’s Indigenous Lands at Stake: Marco Temporal’s Potential Boon for Mining Titans, Amazon Watch, 18-09-2023

https://amazonwatch.org/news/2023/0918-brazils-indigenous-lands-at-stake-marco-temporals-potential-boon-for-mining-titans

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net