คณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พรรคประชาชาติ เผย 2 รูปแบบปัญหาคนพุทธชายแดนใต้ทิ้งถิ่น ปัญหาปากท้องและความถดถอยทางวัฒนธรรม เตรียมผลักดันฟื้นฟูชุมชนพุทธร้างหลังได้รัฐบาลใหม่ ย้อนอ่านข้อกังวลของคนพุทธ และข้อเสนอแนะด้านสันติภาพ ความปลอดภัย และความจริงใจของคู่พูดคุยสันติสุข
รักชาติ สุวรรณ์ คณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พรรคประชาชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2566 ได้เป็นตัวแทนพรรคประชาชาติร่วมเป็นวิทยากรเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นฟื้นฟูชุมชนพุทธร้าง-ถดถอยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่โรงแรม ชี.เอส.ปัตตานี จัดโดยสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ เพื่อสร้างพื้นที่ให้ชาวพุทธในชุมชน หมู่บ้านที่มีปัญหาการย้ายถิ่นฐานหรือการทิ้งถิ่น หรือในบางพื้นที่มีแนวโน้มว่าจะย้ายออกจากพื้นที่ เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ตลอดจนหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือและป้องกันการทิ้งถิ่น
2 รูปแบบความถดถอยของชุมชนชาวพุทธ
รักชาติ เปิดเผยต่อไปว่า สำหรับรูปแบบถดถอยหรือการทิ้งถิ่นของชุมชนชาวพุทธมี 2 รูปแบบ ได้แก่ หนึ่ง รูปแบบและลักษณะความถดถอยเชิงเศรษฐกิจ ประกอบด้วยปัญหาของชุมชนพุทธที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร เมื่อเกิดปัญหาความไม่สงบในระหว่างการเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิต ทำให้รู้สึกหวาดกลัว และไม่สามารถประกอบอาชีพได้
สอง รูปแบบความถดถอยในเชิงวัฒนธรรม โดยคนพุทธไม่ได้รับสิทธิต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับโอกาสที่เท่าเทียมทางการศึกษา หรือ การสอบบรรจุเข้ารับราชการ ยังไม่ได้รับการจัดสรรในสัดส่วนที่เหมาะสม เป็นต้น
“คนพุทธสะท้อนถึงเรื่องที่เรียกร้องมานาน เช่น วันหยุดสารทเดือนสิบ และครัวสากลในโรงพยาบาล ซึ่งภาครัฐยังไม่ได้ดำเนินการแก้ไขให้” รักชาติ กล่าว
คณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พรรคประชาชาติ กล่าวว่า พรรคประชาชาติมีนโยบายเรื่องที่ดินทำกิน จึงมีข้อเสนอคนไทยพุทธในเรื่องของการขอใช้ที่ดินเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อย ยากจน ทั้งพุทธและมุสลิมได้ใช้ทำกิน
จัดสรรที่ดินทำกิน ดีกว่าย้ายคนนอกพื้นที่มาอยู่
รักชาติ กล่าวด้วยว่า คนในพื้นที่ทั้งพุทธและมุสลิมที่ไม่มีที่ดินทำกินยังมีอยู่อีกจำนวนมาก การจัดสรรที่ดินของรัฐให้เข้ามาทำกิน โดยไม่ต้องครอบครองหรือซื้อขายได้ ดีกว่าการนำคนนอกพื้นที่ เช่น คนอีสานเข้ามาอยู่อาศัย แต่เป็นไปได้ว่า ตอนแรกๆ ที่มีโครงการ เช่น การทำฟาร์มตัวอย่าง คนในพื้นที่อาจจะไม่สนใจ ภาครัฐจึงต้องเอาคนนอกพื้นที่เข้ามา
คณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พรรคประชาชาติ กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน ภาครัฐมีการฟื้นฟูชุมชนชาวพุทธแล้วหลายชุมชน เช่น ชุมชนท่าด่าน ใน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี โดยสร้างบ้านหรือปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้ใหม่ แต่คนที่ย้ายออกไปก็แล้วก็ยังรู้สึกลำบากใจที่จะกลับเข้าไปอยู่อาศัยตามเดิม ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็นหลัก เนื่องจากหลายคนเมื่อย้ายออกไปแล้ว มีอาชีพที่มีรายได้ดีกว่าหรืออาศัยอยู่ใกล้ที่ทำงานมากกว่า
แนะถอดบทเรียนชุมชนท่าด่าน
รักชาติ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ หากย้ายกลับมาแล้ว ก็ยังต้องเดินทางไปกลับที่ทำงานด้วยรถจักรยานยนต์ซึ่งก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย บางครอบครัวก็กลับไปนานๆ ครั้ง เพราะไม่มีงานให้ทำ ดังนั้น การฟื้นฟูชุมชนชาวพุทธก็ควรใช้กรณีชุมชนนี้มาถอดบทเรียนด้วย
“ความรู้สึกกลัว หวาดระแวงต่อความรุนแรงยังมีอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะความสัมพันธ์หลายแห่งก็กลับมาปกติ ยกเว้นเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับคนพุทธ ประเด็นหลักตอนนี้คือปัจจัยทางเศรษฐกิจ อาชีพการงาน รายได้ที่มั่นคงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนพุทธหรือมุสลิม แม้แต่เรื่องการพูดคุยก็ยังถือว่าไม่สำคัญเท่าปากท้องของประชาชน” คณะทำงานแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พรรคประชาชาติ กล่าว
อยากเรียนภาษามลายู เรียนรู้จากคนสยามในมาเลย์
รักชาติ เปิดเผยด้วยว่า อีกประเด็นหนึ่งที่คนพุทธในพื้นที่ให้ความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน ก็คือความต้องการเรียนรู้ภาษามลายู แต่อยากให้นำคนสยามที่อาศัยอยู่ในมาเลเซียมาเป็นคนสอนให้ เพราะเห็นว่าภาษามลายูมีความสำคัญกับพื้นที่ สามารถที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารหรือค้าขายกับคนมาเลเซียได้ และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดมากขึ้นด้วย บางหมู่บ้านถึงกับมีคนพุทธอยากส่งลูกเข้าไปเรียนโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามด้วย เหตุผลเพราะอยากให้เข้าภาษา ศาสนาและวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ที่จะอยู่ร่วมกัน โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเปลี่ยนศาสนา
รักชาติ กล่าวว่า ปัญหาต่างๆ ของคนพุทธนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชาติก็จำเป็นต้องลงพื้นที่หมู่บ้านคนพุทธ เพื่อรับฟังปัญหา ข้อกังวล นำไปสู่การแก้ไขต่อไป
ข้อมูลชุมชนคนพุทธย้ายถิ่น
จากฐานข้อมูลเดิมที่มีการเก็บรวบรวมจำนวนครัวเรือนชาวพุทธที่ละทิ้งถิ่นทั้งครอบครัวเนื่องจากปัญหาความไม่สงบตั้งแต่ปี 2547 พบว่ามีจำนวน 102 ครัวเรือนรวม 285 คน เป็นครอบครัวที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ใน 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส โดยเป็นครอบครัวที่ย้ายออกจากพื้นที่ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาสมากที่สุด 21 ครอบครัว จากพื้นที่ 7 หมู่บ้าน แต่ปัจจุบันจำนวนผู้ที่ทิ้งถิ่นอาจจะมีจำนวนมากกว่านี้เมื่อรวมกับคนที่ไม่ได้ย้ายออกมาทั้งครอบครัว
ย้อนอ่านข้อกังวลคนพุทธชายแดนใต้
ข้อเสนอด้านสันติภาพ ความปลอดภัย และความจริงใจของคู่พูดคุยสันติสุข
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2566 เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ (B4P) และ กลุ่มจัดตั้งสมาคมเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (PDA) ได้ออกข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง การลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางด้านอาชีพและการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ในบริบทของการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลาย เพื่อการหนุนเสริมการแก้ไขปัญหา สร้างบรรยากาศในเอื้อต่อการพูดคุย ลดความขัดแย้งทางความรู้สึก โดยนำข้อกังวล ข้อเสนอแนะจากประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคมมาจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของกลุ่มชาวไทยพุทธในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเป็นข้อเสนอแนะที่มาจากการลงพื้นที่ในจังหวัดยะลา นราธิวาสและปัตตานี รับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน กลุ่มคนไทยพุทธที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มสตรีพุทธที่ได้รับผลกระทบ กลุ่มสตรีพุทธที่ฝึกอาวุธและผู้นำท้องถิ่น กลุ่มเยาวชน และองค์กรภาคประชาสังคม ต่อประเด็นกระบวนการสันติภาพและการดูแลความปลอดภัยในกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ
ทั้งนี้ B4P และ PDA ระบุว่า กลุ่มที่เข้าไปรับฟังนั้น ในอดีตเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง มีความรักความสามัคคีกันหมู่พี่น้องคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ หรือการอยู่ร่วมกันกับคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม (หรือมลายูมุสลิม) ทำให้ไม่อยากย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น แต่ก็ยังคงมีความหวาดกลัวในการดำรงชีวิต โดยนำข้อกังวลและข้อเสนอแนะเสนอต่อภาครัฐ (กอ.รมน, ศอ.บต.) เพื่อแก้ไขปัญหา รวมทั้งเสนอต่อคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ของทั้งสองฝ่าย(ฝ่ายรัฐและฝ่ายขบวนการ BRN ) และเสนอต่อพรรคการเมือง
โดยกลุ่มคนไทยพุทธกลุ่มต่างๆ มีข้อกังวลและมีข้อเสนอแนะต่อฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะพรรคการเมือง (เสนอก่อนการเลือกตั้งครั้งล่าสุด) โดยสรุป ดังนี้
ข้อกังวลของคนไทยพุทธต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
ได้แก่
• มีตลาดของอิสลามเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผลิตภัณฑ์และผลผลิตทางการเกษตรของชุมชนไทยพุทธไม่สามารถขายได้
• รัฐบาลไม่จริงใจต่อกระบวนการพูดคุยสันติสุข และการพูดคุยนั้นพูดคุยถูกตัวหรือถูกกลุ่มแล้วจริงหรือไม่ นอกจากนี้กองกำลังทั้งสองฝ่ายยังไม่ให้เกียรติคณะพูดคุยด้วย ทำให้ขณะดำเนินการพูดคุยอยู่นั้น ก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ และ กระบวนการพูดคุยมีผลประโยชน์มากเกินไปทำให้การพูดคุยไม่คืบหน้า
• กังวลเรื่องการบรรจุภาษามลายูเข้าในหลักสูตรการเรียน และการกำหนดภาษามลายูเป็นภาษาราชการอันดับสอง และคนไทยพุทธมีโอกาสสอบเข้าทำงานได้น้อย เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องของภาษามลายู
ส่วนข้อกังวล หากมีการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ ได้แก่ กังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินในเวลากรีดยางพารา และกังวลเรื่องการดำรงชีวิตและการมีขวัญกำลังใจในการใช้ชีวิตประจำวัน
ข้อเสนอต่อพรรคการเมือง และหน่วยงานภาครัฐ สรุปได้ดังนี้
• กระตุ้นราคาเรื่องยางพารา ข้าว และผลผลิตทางการเกษตร ส่งเสริมการตลาดเพื่อรองรับสินค้าและผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มอาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
• ให้ความรู้ และอัพเดทสถานการณ์การพูดคุยให้กับชาวบ้านได้รับทราบ และในขณะมีการพูดคุย ทั้งสองฝ่ายควรหยุดการปฏิบัติการทางทหาร และเห็นด้วยหาก BRN จะเข้ามาพูดคุยในพื้นที่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
• สนับสนุนงบประมาณ เพื่อจัดการเรียนการสอนภาษามลายูภายในวัด โดยผู้สอนเป็นคนไทยพุทธ และเป็นการรักษาภาษาถิ่นใต้ของตัวเองด้วย เช่น ภาษาเจ๊ะเห เป็นต้น
• ภาครัฐควรลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในพื้นที่ในทุกมิติ ไม่ควรบรรจุภาษามลายูในหลักสูตรการเรียนการสอน การสอบเข้าทำงานต้องไม่มีความเหลื่อมล้ำและมีการสอบภาษามลายู
• สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นมุสลิม ควรลงพื้นที่หมู่บ้านคนไทยพุทธด้วย
• รัฐบาลควรนำเยาวชนที่นับถือศาสนาพุทธไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียว รัฐบาลหาทุนและโควตาการเรียนให้กับเยาวชนไทยพุทธที่ประเทศอินเดีย
ข้อกังวลของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบสตรีชาวไทยพุทธ
• ผู้ได้รับผลกระทบบางรายได้รับผลกระทบตั้งแต่ปี 2555 แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือในเรื่องของเงินจ้างงานเร่งด่วน 4,500 บาท
• ผู้ได้รับผลกระทบบางคนไม่มีญาติพี่น้อง ปัจจุบันอายุมากไม่มีงานทำ เมื่อถูกตัดเงิน ทำให้อยู่อย่างยากลำบากมากขึ้น
• ผู้ได้รับผลกระทบบางรายยังมีอาการทางจิตใจ
• หากต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ กังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และความปลอดภัยในระหว่างการเดินทาง
ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
• ให้มีการทบทวนกรณียกเลิกเงินช่วยเหลือ 4,500 บาท เป็นกรณีไป และตรวจสอบผู้ได้รับผลกระทบที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเงินจ้างงานเร่งด่วน
• ตรวจสอบผู้ได้รับผลกระทบ กรณีไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง และไม่มีงานทำ ให้มีการฝึกอาชีพให้กับทายาทผู้ได้รับผลกระทบ
• ให้มีการเยียวยาอย่างต่อเนื่อง และให้มีการเยียวยาทางด้านจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบ
• อยากให้มีทหารอยู่ดูแลในพื้นที่ และหากจะถอนกำลังทหาร พื้นที่ต้องปลอดภัยแล้วจริง ๆ
ข้อกังวลของกลุ่มสตรีพุทธ (ชรบ., ผู้นำท้องถิ่น)
• ทำไมมีการพูดคุยสันติสุขแล้วยังมีเหตุการณ์อยู่ และไม่มีความรู้เรื่องกระบวนการพูดคุยสันติสุข
ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและหน่วยงานของรัฐ คือ ให้ความรู้กับชาวบ้านในเรื่องของการพูดคุยสันติสุข สร้างความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำของคนในพื้นที่
หากมีการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ มีข้อกังวล คือ มีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ มีความไม่ปลอดภัยในระหว่างออกไปกรีดยาง หรือไม่ปลอดภัยเมื่อเวลากรีดยาง และมีความไม่ปลอดภัยเมื่อเวลาเดินทางออกจากหมู่บ้าน
ข้อเสนอแนะต่อพรรคการเมืองและหน่วยงานของรัฐ คือ ควรมีทหารอยู่ในพื้นที่ จนกว่าจะปลอดภัยแล้วจริง ๆ
หากมีการถอนกำลังทหารจริงๆ รัฐต้องสนับสนุนกองกำลังภาคประชาชน เพื่อดูแลพื้นที่หมู่บ้านของตัวเอง ให้มีกองกำลังประจำถิ่น (อาสาสมัครรักษาดินแดน หรือ อส.) ที่เป็นคนในหมู่บ้านตัวเอง
ข้อเสนอของสมาคมฟ้าใส ส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชนชายแดนใต้/ กลุ่มเยาวชนต้นกล้าพันธุ์ใหม่ / เครือข่ายเยาวชนจิตอาสาปะนาเระ
ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและหน่วยงานของรัฐ
• สร้างพื้นที่กลาง เพื่อการมีส่วนร่วมระหว่างเยาวชนกับภาครัฐ รับฟังเสียงจากเยาวชนเพื่อนำไปวางนโยบายแก้ปัญหาที่สามารถใช้ได้จริง เพื่อยุติความรุนแรงในสังคมตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน
• ควบคุม ดูแล ความปลอดภัยของคนในพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะ เช่น ตลาด ชุมชน สถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ คงด่านหลักไว้ และลดจำนวนด่านลอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน ให้มีการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ ยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ ปกป้องพลเรือนจากการใช้ความรุนแรง
• มีเวทีพูดคุยของชาวไทยพุทธ มุสลิม โดยเยาวชนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการลดความรุนแรงในพื้นที่ สร้างความร่วมมือ สร้างความสัมพันธ์และสร้างการมีส่วนร่วมให้กับคนในพื้นที่ทุกภาคส่วน สร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายทางเชื้อชาติและความคิดที่แตกต่าง
• ภาครัฐ และBRN ควรมีการพูดคุยกันให้มากขึ้น เพื่อลดการใช้อาวุธ ทั้งสองฝ่ายควรทำตามข้อตกลงที่ได้พูดคุยบนเวทีเจรจา มีเวทีให้ทั้งภาครัฐ และ BRN ได้ปรึกษาหาแนวทางสร้างความปลอดภัยให้กับทุกฝ่าย คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการพูดคุย เจรจา นำไปสู่การเกิดสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ และมีการถ่ายทอดสดในเวทีพูดคุยเจรจา เพื่อให้พื้นที่ได้รับทราบ
• รับรองความปลอดภัยเมื่อมีการเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นของคนในพื้นที่ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็ก เยาวชนในการแสดงออกทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เยาวชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ และร่วมกันแสดงความคิดเห็นในการออกแบบสังคม และไม่อยากให้เจ้าหน้าที่พกพาอาวุธเวลาลงไปในชุมชนหรือทำกิจกรรมกับเด็ก
• ภาครัฐควรมีการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนอย่างถูกต้อง ไม่บิดเบือน
• ควรมีผู้นำที่มีแนวคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาพื้นที่อย่างเหมาะสม
• ทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างจริงจัง
ข้อกังวลของกลุ่มจัดตั้งสมาคมเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (Peace and Development Association) PDA
ข้อกังวลต่อกระบวนการสันติภาพ ได้แก่ ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนไม่ถูกหยิบยกมาพูดคุยในเวทีพูดคุยสันติสุข มีการถูกคุกคามของนักปกป้องสิทธิ
• กรอบการเจรจาของทั้งสองฝ่ายไม่ชัดเจน ทำให้ชาวบ้านหรือคนในพื้นที่ไม่รู้ถึงประเด็นสารัตถะของการพูดคุย
• มีการใช้กำลังทางทหารของทั้งสองฝ่าย ในระหว่างการพูดคุยทำให้เห็นถึงคณะพูดคุยของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถคุมกองกำลังทหารในพื้นที่ได้
ข้อเสนอแนะ ต่อเจ้าหน้าที่รัฐและตัวแทนคู่เจรจาทุกฝ่าย
• หยิบยกประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมาเป็นหนึ่งในประเด็นการเจรจา ไม่คุกคามนักกิจกรรม และนักปกป้องสิทธิ
• สร้างความเท่าเทียมในการมีส่วนร่วมในการเจรจาโดยทุกฝ่าย รวมถึงนักกิจกรรมการเมือง และภาคประชาสังคม
• สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย
• ภาคประชาสังคมควรเพิ่มการสื่อสารแก่ประชาชนโดยไม่มีการชี้นำ
• ผลักดันให้กระบวนการสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมาธิการ เพื่อศึกษา และติดตามกระบวนการพูดคุยสันติสุข
• ภาคประชาสังคมนอก สล.3 มีส่วนร่วม “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม” หรือ Joint Comprehensive Plan towards Peace (JCPP) เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการพูดคุย
ข้อเสนอต่อพรรคการเมือง ได้แก่
• เข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยด้วยผ่านการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาปัญหาความขัดแย้ง • ผู้เจรจาต้องมีการรับรองความปลอดภัยจากกลไกรัฐสภา
• พิจารณาออก พ.ร.บ.การสร้างสันติภาพ
• ทบทวนกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับหลักการใช้กำลังและอาวุธปืน และแก้ไขให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
• เปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคม และสามารถเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
• จัดสรรสวัสดิการแก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ในการเดินทางมาทำงานนอกพื้นที่ รวมถึงการทำงานที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานและลดการทำงานอย่างผิดกฎหมาย
• รับรองสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม รวมถึงในกรณีของชุมนุมที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนา
ข้อเสนอต่อกองกำลังติดอาวุธทั้งสองฝ่าย (เจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐ) คือ ยุติการปฏิบัติการใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อพลเรือน
ผู้หญิง เด็ก ชาวไทยพุทธ และกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ
มีข้อกังวลและข้อเสนอแนะ ดังนี้
• ชาวไทยพุทธในพื้นที่มีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพอย่างจำกัด สถานการณ์ความรุนแรงยังทำให้เกิดหญิงหม้าย แม่เลี้ยงเดี่ยว เด็กกำพร้า และผู้สูงอายุจำนวนมาก ส่งผลต่อโครงสร้างสังคมโดยรวม
• กลุ่มชุมชนชาวพุทธรู้สึกไม่ปลอดภัย ตกเป็นเหยื่อจากการถูกเอาคืน นักการเมืองไม่เคยลงพื้นที่ในชุมชนชาวพุทธ และไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนการทำงานจากแหล่งทุน
ข้อเสนอแนะ ต่อ เจ้าหน้าที่รัฐ
• สนับสนุนการมีส่วนร่วมของกลุ่มเปราะบางทุกกลุ่ม (พุทธ มุสลิม) ในกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงกระบวนการสันติภาพ
• สนับสนุนความเท่าเทียมลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ ให้การคุ้มครองและช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
• สนับสนุนกระบวนการเยียวยาที่ต่อเนื่อง เท่าเทียม และครอบคลุมทุกมิติ โดยรวมถึงผลกระทบทางด้านสังคมและจิตใจ (social-psychosocial support)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)