Skip to main content
sharethis

ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษาให้ “นายจ้าง” จ่ายเงินให้แก่ลูกเรือประมง 32 คน ที่ถูกหลอกไปทำงานประมงในประเทศโซมาเลีย จำนวน 9,043,023 บาท โดยนายจ้างได้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลฎีกาอีกครั้งเป็นเหตุให้ลูกเรือทั้ง 32 คน ยังคงไม่ได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยตามการฟ้องร้อง หลังผ่านมาแล้วกว่า 4 ปี

 

13 ก.ค. 2566  มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) รายงาน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรณีลูกเรือประมงไทยจำนวน 32 คน ฟ้องนายจ้างคนไทยได้หลอกให้ลูกจ้างไปทำงานประมงในประเทศโซมาเลีย โดยไม่ได้รับค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างระหว่างตกค้าง และเงินส่วนแบ่งมูลค่าสัตว์น้ำที่จับได้ ซึ่งลูกเรือประมงได้ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2562  โดยนายจ้างได้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลฎีกาอีกครั้งเป็นเหตุให้ลูกเรือทั้ง 32 คนยังคงไม่ได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยตามการฟ้องร้อง ส่งผลกระทบต่อลูกจ้างที่สู้คดียาวนานและยังคงไม่ได้รับเงินแม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่า 4 ปี

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมี 2 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นที่หนึ่ง การพิจารณาเรื่องความเป็นนายจ้างและความรับผิดชอบของจำเลย ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องตามศาลแรงงานกลางซึ่งวินิจฉัยว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง นาย น. ผู้เป็นจำเลย กับนายจ้างชาวอิหร่าน เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและผลกำไรจากการทำประมง ซึ่งเป็นการแบ่งงานกันทำในลักษณะสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญ และจำเลยยังมีอำนาจสั่งการบังคับบัญชาโจทก์ทั้ง 32 คน ดังนั้น จำเลยจึงเป็นนายจ้างของโจทก์ซึ่งต้องรับผิดตามการฟ้องร้อง

ประเด็นที่สอง การพิจารณาเรื่องความรับผิดชอบค่าชดเชยและค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้ จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้ง 32 คน ซึ่งประกอบด้วย ค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุด ส่วนแบ่งมูลค่าของสัตว์น้ำ เงินในระหว่างตกค้างอยู่ในต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือให้จำเลยเดินทางกลับประเทศไทย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,043,023.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อปี 2562 ลูกเรือไทยที่ไปทำงานประมงในน่านน้ำโซมาเลียได้ถูกลอยแพ อีกทั้งนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างค่าแรง และท้ายที่สุดลูกเรือได้ร้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรภาคประชาสังคมและสถานกงสุลในกรุงไนโรบี จนกระทั่งลูกเรือทั้ง 32 คนได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย 

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) ร่วมกับสำนักงานกฎหมายเอส อาร์ (Sr Law) และศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเล (Stella Maris) ได้ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย โดยสนับสนุนทนายความเป็นผู้แทนลูกเรือทั้ง 32 คน ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลางตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2562 เรียกร้องค่าจ้างค้างจ่าย ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างตกค้าง ส่วนแบ่งตามมูลค่าจับสัตว์น้ำ และค่าเดินทางกลับประเทศไทย จากนายจ้างคนไทยที่ร่วมกับนายจ้างอิหร่าน

วันที่ 5 ก.ค. 2565 ศาลแรงงานกลางได้มีคำพิพากษาให้จำเลย จ่ายค่าจ้างและค่าชดเชยอื่นๆ ตามคำฟ้องให้แก่โจทก์ทั้ง 32 คน พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดชำระตามอัตราที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม จำเลยได้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบต่อลูกเรือทั้ง 32 คน จนนำมาสู่คำพิพากษาของศาลแรงงานอุทธรณ์ในวันที่ 2 มิ.ย. 2566 ซึ่งต่อมาจำเลยยังคงอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลฎีกาอีกครั้งเป็นเหตุให้ลูกเรือทั้ง 32 คนยังคงไม่ได้รับค่าจ้างและค่าชดเชยตามการฟ้องร้อง

คณะทำงานภาคประชาสังคมมีความเห็นว่า คดีความนี้เป็นกรณีตัวอย่างสำคัญในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในการทำประมงในต่างประเทศ ตลอดจนความรับผิดชอบของตัวการที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับบริษัทผู้ว่าจ้างแรงงานในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นกรณีตัวอย่างสำคัญในการให้ความคุ้มครองแรงงานประมงไทยที่ออกไปทำการประมงในต่างประเทศ  

หากพิจารณาจากระยะเวลาในการดำเนินคดีจะพบว่า การดำเนินคดีทางกฎหมายใช้เวลายืดเยื้อยาวนานมากกว่า 4 ปี ปัจจุบันลูกเรือทั้ง 32 คน ยังคงไม่ได้รับเงินค่าจ้างและค่าเสียหายอื่นๆ จากการทำงานในประเทศอิหร่านและประเทศโซมาเลีย เนื่องจากนายจ้างอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลฎีกาเพื่อให้มีการตัดสินใหม่อีกครั้ง คณะทำงานในคดียังคงต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่คณะทำงานก็ยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกเรือที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อไป เพื่อให้ลูกเรือทั้ง 32 คน ได้รับการชดเชยเยียวยาและเกิดกลไกในการคุ้มครองแรงงานประมงอย่างเหมาะสมต่อไป

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net