Skip to main content
sharethis

พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลยื่นญัตติขอตั้ง กมธ.ติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณและมาตรการแก้ไขปัญหา ภายใต้วิกฤตการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้านจาตุรนต์ แนะรัฐบาลอย่าสนใจแต่เพียงตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน จนมองไม่เห็นคนที่ไม่มีจะกิน ขณะที่วัชระ เพรชทอง ขอพล.อ.ประยุทธ์ คืนสิทธิหาบเร่แผงลอยในจุดผ่อนผัน และเร่งจ่ายเงินเยียวยารายละ 5,000 บาท ให้คนขายของหาบเร่แผงลอย

5 พ.ค. 2563 ที่รัฐสภา เกียกกาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยื่นญัตติด่วนขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณและมาตรการแก้ไขปัญหา ภายใต้วิกฤตการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อติดตามสถานการณ์ความทุกข์ร้อน มาตรการเยียวยาดูแลประชาชน และการใช้จ่ายงบประมาณ 

พิธาระบุว่า แม้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็ม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้อำนาจได้โดยไม่มีการตรวจสอบ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักการถ่วงดุลการทำงานของฝ่ายบริหาร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร โดยอีก 2 สัปดาห์จะมีการเปิดสมัยประชุมสามัญ และจะมีการพิจารณาพระราชกำหนด 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาโควิด-19 จึงขอให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อติดตามตรวจสอบ รวมทั้งจะมีการพิจารณา พ.ร.บ.กู้เงิน 1.9 ล้าน ซึ่งต้องตรวจสอบว่าจะเป็นกู้เงินเพื่อนำมาตอบสนองความต้องการของประชาชนได้จริงหรือไม่

พิธาย้ำว่า หวังว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร จะมองเห็นปัญหา และความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากเป็นการใช้งบประมาณที่อาจจะสูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งหากไร้การตรวจสอบพี่น้องประชาชนก็จะเสียงผลประโยชน์ และคาดหวังว่าญัตติดังกล่าวจะเป็นเรื่องเร่งด่วนซึ่งควรนำขึ้นมาพิจารณาเป็นลำดับแรก

ด้านศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลระบุว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้นเป็นการยกอำนาจเต็มให้กับนายกรัฐมนตรี และข้าราชการ โดยไม่มีรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงคาดหวังว่าญัตติดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

จาตุรนต์ แนะรัฐบาลอย่าสนใจแต่เพียงตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน จนมองไม่เห็นคนที่ไม่มีจะกิน

วันเดียวกัน จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้วิพากษ์วิจารณ์มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนโดยรัฐในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ว่าขณะนี้น่าเป็นห่วงคนหลายสิบล้านกำลังเดือดร้อนสาหัสและยังจะเดือดร้อนมากขึ้น มาตรการเยียวยาช้ามากทั้งระบบ การคลายล็อกขาดการเตรียมการล่วงหน้า ทำให้ธุรกิจและ คนทำมาค้าขายจำนวนมากไม่พร้อม รัฐทำราวกับว่าเห็นการเปิดกิจการ และการทำมาค้าขายเป็นพิษเป็นภัยมากกว่าจะเห็นว่าเป็นความจำเป็นและเป็นประโยชน์ แทนที่จะหาทางช่วยเหลือ สำรวจว่ามีปัญหาอะไร ต้องการให้ช่วยเหลืออย่างไร กลับเน้นแต่การขู่คาดโทษ ทำให้จังหวัดต่างๆ แข่งกันใช้มาตรการเข้มเกินจำเป็น ภาคเอกชน คนทำมาค้าขายอยู่ไม่ได้ คนยังกลับมาทำงานไม่ได้ และคนตกงาน หยุดงานยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากยังเดินกันไปเช่นนี้อีก 4-5 เดือนรัฐบาลก็จะไม่มีงบประมาณพอที่จะเยียวยา

จาตุรนต์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มาตรการเยียวยาทั้งระบบล่าช้ามาก ในสัปดาห์นี้จะมีการจ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 3 ล้านคน รวมแล้วประมาณ 11 ล้านคน หมายความว่า ผู้ที่เข้าข่ายได้รับการเยียวยาอีกประมาณ 5 ล้านคนต้องอยู่กันโดยไม่มีรายได้อะไรเลย รวมทั้งสิ้นจะนานถึง 2 เดือน ส่วนอีกประมาณ 5-6 ล้านที่ไม่เดือดร้อนแต่ไม่เข้าข่าย ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะดูแลอย่างไรและเมื่อใด ผู้ประกันตนกว่าครึ่งยังไม่ได้รับเงิน และเกษตรกร 10 ล้านคนก็ยังไม่ได้รับเงิน

“ที่ล่าช้าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไม่มีเงิน หรือหาเงินไม่ได้แล้ว แต่เป็นเพราะการบริหารจัดการที่ล้มเหลว ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ขณะที่มีการวางระบบที่ผิด ทำให้มีปัญหาทางธุรการมากไปโดยไม่จำเป็น ผู้ที่รับผิดชอบตั้งแต่หัวหน้ารัฐบาลลงมา ไม่เข้าใจว่านี่เป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเหมือนไฟไหม้หรือน้ำท่วมที่ต้องการให้ความช่วยเหลือทันที ทางออกในเรื่องนี้มีอยู่ทางเดียว คือ อะไรที่จ่ายได้ ให้จ่ายไปก่อน รัฐบาลน่าจะนึกย้อนหลังไปถึงช่วงที่ทั้งแจกทั้งแถมให้คนมีเงินอยู่แล้วไปเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยังทำได้ เวลานี้คนเดือดร้อนกัน ทำไมจึงจ่ายยากจ่ายเย็น ผมอยากเสนอให้รัฐบาลเชิญคนหาเช้ากินค่ำหรือตัวแทนองค์กรที่ทำงานกับคนยากจนมาให้คำปรึกษาจะได้ช่วยให้ผู้รับผิดชอบที่มีรายได้ประจำเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีจะกินว่าเป็นอย่างไร” จาตุรนต์ กล่าว

จาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการคลายล็อกให้เปิดกิจการทำกิจกรรมได้มากขึ้นนั้น เนื่องจากขาดการวางแผนล่วงหน้า ผู้ประกอบการและคนทำมาค้าขายจำนวนมากไม่กล้าเตรียมการล่วงหน้า ทำให้ไม่มีความพร้อมเปิดกิจการ สั่งคลายล็อคแล้ว แต่เพิ่งมีคู่มือปฏิบัติการต่าง ๆ ออกมา การปิดหรือเปิดก็ลักลั่น กิจการหลายอย่างยังถูกห้ามอยู่ ทั้งๆ ที่สามารถเปิดได้โดยมีมาตรการทางสาธารณสุขที่เหมาะสม รัฐทำราวกับว่าเห็นการเปิดกิจการและการทำมาค้าขายเป็นพิษเป็นภัยมากกว่าจะเห็นว่าเป็นความจำเป็นและเป็นประโยชน์ แทนที่จะหาทางช่วยเหลือ สำรวจว่าเขามีปัญหาอะไร ต้องการให้ช่วยเหลืออย่างไร กลับเน้นแต่การขู่คาดโทษ ทำให้จังหวัดต่างๆ แข่งกันใช้มาตรการเข้มเกินจำเป็น ภาคเอกชนและคนทำมาค้าขายไม่กล้าวางแผนลงทุน กิจการที่เปิดจำนวนมากก็กำลังประสบปัญหาไม่มีผู้ซื้อหรือไม่มีวัตถุดิบมาส่ง เพราะกิจการหลายประเภทถูกปิดหรืออยู่ไม่ได้มานาน รัฐบาลและกลไกราชการทั้งหลายไม่มีการถามว่าภาคเอกชนต้องการให้ช่วยเหลืออะไรอย่างไร มีแต่ขู่ตลอดว่าถ้าอย่างนั้นจะสั่งปิดอย่างนี้ จะให้หยุด หารู้ไม่ว่าต่อไปจะพบว่าธุรกิจจำนวนมากนั้น ถึงเวลาอยากให้เขาเปิด เขาก็เปิดกันไม่ได้

“ขณะนี้คนจำนวนมากยังกลับมาทำงานไม่ได้ และคนตกงานหยุดงานยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนมิถุนายน รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินเยียวยาทั้งหมดประมาณ 4 แสนล้าน ซึ่งพอบรรเทาความเดือดร้อนของคนหลายสิบล้านคนได้บ้างเท่านั้น เพราะเงิน 5,000 บาทต่อเดือนนั้นมากว่าค่าแรงขั้นต่ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่าลืมว่าวงเงินที่ใช้สำหรับการเยียวยาตาม พ.ร.ก.มีไม่ถึง 6 แสนล้าน หากยังเดินกันไปอย่างนี้ กิจการต่างๆ จะล้มอีกมาก และคนจะตกงานเดือดร้อนมากขึ้น ไม่ถึงเดือนกันยายน รัฐบาลก็จะไม่มีงบประมาณที่จะใช้สำหรับการเยียวยา จะกลายเป็นวิกฤติทางเศรษฐกิจ สังคมที่ใหญ่มาก การเน้นแต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพียงอย่างเดียว ไม่ให้ความสนใจกับประชาชนที่กำลังไม่มีจะกิน ทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาเศรษฐกิจน้อยเกินไป รัฐบาลจึงควรหาความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการรับมือการแพร่ระบาดกับการดูแลเศรษฐกิจและคนส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนให้ได้” จาตุรนต์ กล่าว

วัชระ เพรชทอง ขอพล.อ.ประยุทธ์ คืนสิทธิหาบเร่แผงลอยในจุดผ่อนผัน และเร่งจ่ายเงินเยียวยารายละ 5,000 บาท ให้คนขายของหาบเร่แผงลอย

วันเดียวกัน ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ขอให้ยกเลิกนโยบายขับไล่หาบเร่แผงลอยในจุดผ่อนผันที่กรุงเทพมหานครอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย คืนสิทธิหาบเร่แผงลอยในจุดผ่อนผัน และเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้โควิด-19 รายละ 5,000 บาท ให้หาบเร่แผงลอยและคนจนโดยด่วนที่สุด 

วัชระ กล่าวว่า การที่ กทม. ได้ขับไล่หาบเร่แผงลอย โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าสั่งการให้ดำเนินการนั้น ทางพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. เคยบอกกับตนว่า คสช. สั่งให้ขับไล่หาบเร่แผงลอยเพียงในเขตพื้นที่ไข่แดง (เกาะรัตนโกสินทร์) ของกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กลับมาเพิ่มขยายไปยังพื้นที่ไข่ขาวทั่วทั้ง 50 เขตของ กทม. สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องหาบเร่แผงลอยคนไทยคนจนนับหมื่นครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำไม่มีสถานที่ค้าขาย ครอบครัวประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก บ้านแตกสาแหรกขาด 

วัชระ กล่าวว่า เมื่อ กทม. ขับไล่หาบเร่แผงลอยในจุดที่เคยติดตั้งป้ายผ่อนผันให้ค้าขายได้ตั้งแต่สมัย พลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ผู้บริหาร กทม. ก็ไม่ได้จัดสถานที่รองรับอย่างทั่วถึง แก้ไขปัญหาไม่ได้ มีหาบเร่แผงลอยต่างชาติคือ เวียดนาม กัมพูชา ลาวมาขายแทนคนไทย ยิ่งปัจจุบันมีโรคโควิด-19 แพร่ระบาดทำให้คนยากจนเหล่านี้ต้องประสบความยากลำบากเป็นทวีคูณ เงินเยียวยา 5,000 บาท ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยและคนยากจนส่วนมากยังไม่ได้รับ เพราะเข้าไม่ถึงระบบไอทีของรัฐบาล สำนักงานเขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ยังอาศัยการประกาศเคอร์ฟิวส์ของรัฐบาลไปไล่รื้อหาบเร่แผงลอยที่ตลาดลาว คลองเตย ในเวลา 23.00 น.ของคืนวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา 

วัชระ กล่าวว่า เพื่อความสมานฉันท์และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการบริหารประเทศและดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่า เราไม่ทอดทิ้งกัน ตามที่นายกรัฐมนตรี เคยประกาศไว้ จึงขอเสนอให้ยุติการขับไล่หาบเร่แผงลอยตามคำสั่ง คสช. เพราะ คสช. สิ้นสภาพไปแล้ว และเร่งจ่ายเงินเยียวยาโรคโควิด-19 รายละ 5,000 บาท ให้หาบเร่แผงลอยและคนจนโดยเร็วที่สุด 

วัชระ กล่าวว่า ให้สอบสวนข้อเท็จจริงว่าการที่พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. อ้างว่า คสช. สั่งให้ขับไล่หาบเร่แผงลอยเฉพาะในพื้นที่ไข่แดงแล้วเหตุใด กทม.จึงมีการขยายขับไล่หาบเร่แผงลอยไปทั่วทั้ง 50 เขต สร้างความเดือดร้อนให้หาบแร่แผงลอยเกินกว่าเหตุ พิสูจน์ชัดจากการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา 5 ปี ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ให้คืนจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอยที่กทม.เคยผ่อนผันถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่สมัยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจรากหญ้าให้คืนชีพ มีการจ่ายเงินภาษีหาบเร่แผงลอยให้รัฐตามเดิม ขจัดส่วนนอกระบบทุกรูปแบบและไม่เกะกะกีดขวางทางจราจร หรือให้ผ่อนผันหาบเร่แผงลอยทุกจุดเช่นเดียวกับที่ถนนข้าวสารตามประกาศของนายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่า กทม. ทุกจุดอย่างเท่าเทียมกัน

วัชระ กล่าวว่า ให้สั่งการให้ระงับการปรับปรุงทางเท้า (ฟุตบาท) ของเขตต่าง ๆ ทุกเขตในกทม.เพราะเป็นช่องทางการทุจริตการก่อสร้างทางเท้าที่ยังคงสภาพดี แต่ทุบทิ้งเพื่อตั้งงบประมาณในราคาแพง นำงบทางเท้าปีละกว่า 200 ล้านบาทมาแก้ไขโรคโควิด-19 แทน และสุดท้ายเมื่อนายกรัฐมนตรีเขียนจดหมายถึงอภิมหาเศรษฐีเมืองไทยได้ เพื่อความสามัคคี ขอแนะนำให้เขียนจดหมายถึงผู้ค้าหาบเร่แผงลอยและคนจนทั้งแผ่นดิน 1 ฉบับ เพื่อให้เห็นว่ามีความห่วงใยพี่น้องคนจนอย่างแท้จริง ไม่ได้เขียนจดหมายถึงเฉพาะเจ้าสัวนายทุนเท่านั้น 

ขณะที่เดียวกัน สมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักปลัดนายกรัฐมนตรีได้ส่งโทรศัพท์ให้ นายวัชระฯ แจ้งว่านายธีรภัทร์ ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะพูดด้วย

วัชระฯ รับโทรศัพท์นายธีรภัทร์ ได้แจ้งว่า ได้นำเรื่องนี้เรียนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ และพล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยอย่างเร่งด่วนแล้ว

วัชระ จึงได้กล่าวขอบคุณพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แทนพี่น้องหาบเร่แผงลอยกรุงเทพมหานคร

ที่มาจาก: สำนักข่าวไทย 1 , 2 , กรุงเทพธุรกิจ 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net