Skip to main content
sharethis

18 เม.ย. 2563 ศบค. แถลงไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 33 คน รวมผู้ติดเชื้อสะสม 2,733 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต รวมผู้เสียชีวิตสะสม 47 คน และรักษาหายสะสม 1,787 คน จับตาชาวบ้าน 1,000 คน ที่เข้าคิวรอรับแจกของหน้าวัดดอนเมือง ชี้ให้สังเกตอาการอีก 7-14 วันถ้ามีอาการคล้าย COVID-19 ต้องพบแพทย์ทันที ห่วงเป็นต้นตอแพร่กระจายเชื้อแบบซูเปอร์สเปรดเดอร์ | โฆษกรัฐบาลแจงแนวคิดนายกทำจดหมายเปิดผนึกถึง 20 เศรษฐี ไม่ได้หวังตัวเงินช่วยเหลือ แต่ต้องการแนวทางร่วมแก้ปัญหาวิกฤต COVID-19 เป็น 'ทีมไทยแลนด์' | ทร.เตรียมเสนอลดงบ 4,100 ล้าน ชะลอซื้อเรือดำน้ำช่วย COVID-19

18 เม.ย.2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงข่าวสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ว่า มีผู้ป่วย COVID-19 เพิ่ม 33 คน รวมตัวเลขสะสม 2,733 คน โดยเป็นวันแรกที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มทำให้ตัวเลคงที่ 47 คน ในจำนวนนี้มีคนหายป่วยกลับบ้านเพิ่ม 100 คน รักษาตัวในโรงพยาบาล 899 คน หายป่วยกลับบ้าน 1,787 คน

ส่วนรายใหม่ 33 คนเป็นกลุ่มก้อนเดิมกับผู้ป่วยยืนยันพบ 11 คนใน กทม.ทั้งหมด อีก 10 คนไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้า เช่น มีอาชีพเสี่ยง ทำงานใกล้ชิด และไปในสถานที่เสี่ยงตลาดนัด และพื้นที่แออัด 4 คน และรอสอบสวนโรค 10 คน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ใน State quarantine พื้นที่จ.กระบี่ 2 คน

“ขณะที่วันนี้ 9 จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อที่ยังคงทำหน้าที่ได้ดี ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม จาก 27 จังหวัดเป็น 29 จังหวัดคือ ระยอง ตาก ขณะที่ผู้ติดเชื้อสะสม กทม.นนทบุรี ยังมีมากขึ้น”

โฆษก ศบค.กล่าวว่า สำหรับกรณีผู้เสียชีวิตทั้ง 47 คน คิดเป็นอัตราเฉลี่ย 1.7% โดยอายุต่ำสุด 28 ปี มากสุด 85 ปี และเป็นเพศชายจำนวน 38 คน ผู้หญิง 9 คน นอกจากนี้ยังพบว่าอันดับ 1 ของการเสียชีวิตมีโรคประจำตัวโดยเฉพาะเบาหวาน 43 % ความดันโลหิตสูง 36% ไขมันในเลือดสูง 18% โรคหัวใจ 14% และไม่มีโรคก็เสียชีวิตได้อัตรา 17%

“เบาหวานเสี่ยงมากที่สุด เพราะโรคนี้เกี่ยวข้องกับภาวะบกพร่องของอินซูลินถ้าน้ำตาลเกินก็จะเกิดผลเสียหายต่ออวัยวะ ถ้าเบาหวานขึ้นตา ตาบอดและเส้นเลือดต่างๆ และมีผลตามมาก็แย่แล้วยิ่งมีติดเชื้อ COVID-19”

สถานการณ์โลก มีผู้ป่วย 2,250,000 คน เสียชีวิตวันเดียว 8,740 คนรวมเสียชีวิต 154,261 คน และสหรัฐอเมริกา เสียชีวิตมากสุด 2,541 คน รองลงมาจีน 1,290 คน ซึ่งน่าตกใจเหตุใดทำไมจีนถึงมีคนเสียชีวิตมากขึ้น และต้องเตือนเพราะมาตรการที่จะออกมาต้องดูสถานการณ์ว่ามาจากระบบรายงานหรือเกิดจากระบบการรักษา

“ส่วนของไทยไม่ได้อยู่ในอันดับแล้ว เพราะอยู่ในลำดับบที่ 52 ของโลก แต่ต้องเรียนรู้กับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่ม 561 คน อินโดนีเซีย 407 คน ฟิลิปปินส์ 208 คน มาเลเซีย 269 คน”

จับตารับแจกของดอนเมือง-เสี่ยงโรคระบาดวงกว้าง

โฆษก ศบค.กรณีมีภาพข่าวเรื่องคนจำนวนนับพันคนไปรับแจกเงินและของที่วัดดอนเมือง ยอมรับว่าจตกใจ เพราะการสื่อสารเรื่องงดเข้าพื้นที่ชุมนุมคนจำนวนมากที่แออัด มีความเสี่ยงต่อระบาดของโรคนี้ได้ง่าย เพราะบทเรียนจากแค่ร้านเหล้าที่มีคนไม่กีคนยังติดกันทั้งร้าน ดังนั้นค่อนข้างมีความเสี่ยงมาก ต้องขอว่าคนที่อยากบริจาคให้พี่น้องประชาชนต้องมีระบบที่ดีด้วย เพราะคนรอต้องใช้เวลานานด้านหนึ่งไม่มีข้อกำหนดกฎหมาย  

“ไม่อยากพูดว่าขู่ แต่นับจากนี้อีก 7-14 วันให้จับตาคนที่ไปรับแจกของ ถ้ามีไข้หรือไอเจ็บ คอต้องรีบมาพบแพทย์ทันที และถ้ารู้ว่าเป็นคนในครอบ ครัวตัวเอง ต้องให้ใส่หน้ากากอนามัย เพราะเสี่ยงมาก ไม่อยากซ้ำรอยที่ญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ที่ติดกันแบบที่เรียกว่าเป็นซุปเปอร์สเปรดเดอร์”

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เรื่องนี้ทางศบค.คุยเยอะมาก และมองไปถึงที่ว่าคนไทยอยากจะช่วยกันเอง ฟังข่าวแล้วไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่ในวัดก็ช่วยกัน ในภาพของพุทธศาสนิกชนทำอาหารแจกจ่ายให้คน เป็นภาพที่น่ารักมากรวมทั้งภาคเอชน ทหารที่เข้ามาช่วยเหลือกันในช่วงเวลานี้ 

สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนดีเสมอในกลุ่มคนที่ผ่านทุกข์ ยากความทุกข์ร้อนมา จะเป็นพลังบทเรียนสำคัญดำรงชีวิตต่อสู้กันข้างหน้า เราแก้อดีตสิ่งที่มาปะทะเราไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นดีเสมอและจะก้าวไปข้างหน้า

นอกจากนี้ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่าผลของเคอร์ฟิว ช่วยลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในช่วง 7 วันอันตรายสงกรานต์เทียบ 3 ปีย้อนหลังคือปี 2561 จำนวน 28,692 คน ปี 62 จำนวน 30,212 คนส่วนปี 2563 ลดเหลือ 9,764 คน เหลือแค่ 1 ใน 3 ส่วนผู้เสียชีวิตจากปีละ 400-500 กว่าคนเหลือเพียง 150 คน คิดเป็นร้อยละ 71

ส่วนการรองรับคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศวันนี้ (18 เม.ย.) จะมีนักเรียน AFS กลุ่มสุดท้ายจากสหรัฐฯ 131 คน มาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนคนไทยตกค้าง 162 คน คาดว่าจะมาถึงสนามบินอู่ตะเภาแล้ว จากนั้นจะไปอยู่ในจังหวัดทางภาคตะวันออก 

“ขออย่ากังวลว่าจะมีปัญหา เพราะมีการประเมินระดับพื้นที่ทั้งด่านความมั่นคง สาธารณสุข และจังหวัด ยืนยันว่า มีคุณภาพและมาตรฐานเพียงพอ”

โฆษก รบ.แจงนายกไม่ได้ขอเงิน 20 เศรษฐี


นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (แฟ้มภาพ)

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงแนวคิดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เตรียมส่งจดหมายเปิดผนึกถึง 20 มหาเศรษฐีในประเทศไทย ให้เข้ามาร่วมทีมไทยแลนด์ แก้ปัญหาการแพร่ระบาด COVID-19 ภายในสัปดาห์หน้านี้ว่า นายกรัฐมนตรี มีความตั้งใจที่อยากเปิดรับฟังความคิดเห็นของทุกคนโดยตรง โดยไม่ใช่วัดที่ตัวเงินเป็นหลัก แต่ต้องการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมามีส่วนรวมในการแก้ปัญหานี้ ส่วน 20 รายชื่อเศรษฐีในประเทศไทยจะเป็นใครบ้างนั้น ยังไม่มีข้อมูลที่จะเปิดเผย แต่ยืนยันว่าสิ่งที่นายกรัฐมนตรี ต้องการในขณะนี้คือแนวทางในการช่วยกันแก้ปัญหาวิกฤต COVID-19 นี้ 

ขณะที่ภายในสัปดาห์หน้านายกรัฐมนตรีก็เตรียมที่จะลงไปรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจและรับฟังปัญหาโดยตรง แต่ทั้งนี้ยังไม่ได้กำหนดรูปแบบว่าจะเป็นการประชุมหรือลงไปในพื้นที่ พื่อรับฟังความคิดเห็นแต่อย่างใด

ทร.เตรียมเสนอลดงบ 4,100 ล้าน ชะลอซื้อเรือดำน้ำช่วย COVID-19

พลเรือโทประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ และโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงการที่รัฐบาลให้ส่วนราชการปรับลดงบประมาณ เพื่อนำไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย ไปเป็นงบกลาง เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนในการแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดว่า ผู้บัญชาการทหารเรือได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรง ทร.และคณะทำงานทุกฝ่ายในกองทัพเรือเร่งหาข้อยุติในการร่วมสนับสนุนนโยบายของทางรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นวารระสำคัญ  

หลังการหารือร่วมของทุกฝ่าย ได้ข้อสรุปและเสนอขอความเห็นชอบจากผู้บัญชาการทหารเรือแล้ว ว่ากองทัพเรือจะขอเสนอปรับลดงบประมาณลงกว่า 33% คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 4,100 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่มากกว่าที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยจะชะลอการดำเนินการโครงการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ที่แม้จะเป็นการใช้งบประมาณในส่วนของกองทัพเรือเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงบประมาณของกระทรวง ทบวงกรมอื่นแต่ประการใด รวมถึงการชะลอโครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำและโครงการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำที่ต้องปรับลดวงเงินปีแรกลง ทำให้การเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับเรือดำน้ำลำแรกต้องล่าช้าออกไปด้วย

“กองทัพเรือยังชะลอโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ที่สำคัญ อาทิ โครงการซ่อมปรับปรุง เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ โครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล Network centric  โครงการจัดหาเครื่องฝึกจำลองยุทธ์  โครงการจัดหาระบบอาวุธปืนรองฯ ตลอดจนโครงการก่อสร้างอาคารพัก 64 ครอบครัวฯ ซึ่งแม้จะมีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพล แต่โดยทุกโครงการก็จะต้องชะลอการดำเนินการไปตามความจำเป็น หรือจะต้องปรับลดวงเงินปีแรกลงไปก่อนและการที่กองทัพเรือได้เสนอขอปรับลดงบประมาณลงกว่า 33% ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 4,100 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนนโยบายของทางรัฐบาล ในการนำเงินไปช่วยเหลือประชาชนในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ ไวรัส COVID-19 ในครั้งนี้ เป็นไปโดยความมุ่งมั่น ที่ต้องการแสดงออกถึงความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือประชาชนและแก้ปัญหาของประเทศ”พลเรือโทประชาชาติ

ที่มาเรียบเรียงจาก: Thai PBS | สำนักข่าวไทย [1] [2]

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net