Skip to main content
sharethis

สุรศักดิ์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคภูมิใจไทย มอบหน้ากากผ้า เครื่องวัดไข้ Face Shield และเจลล้างมือให้กำนัน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ทุกตำบลในเขตพื้นที่ พร้อมนำชาวบ้านสวดปัดรังควานไล่โควิด-19 ตามประเพณีโบราณ และเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก ทำน้ำมนต์ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อฉีดพ่นชุมชน ขณะที่มงคลกิตติ์ บริจาคเงินเดือน ส.ส. ให้กองทุนป้องกันโควิดของรัฐบาล

9 เม.ย. 2563 สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ได้มอบหน้ากากผ้า เครื่องวัดไข้ Face Shield และเจลล้างมือให้กำนัน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ทุกตำบลในเขตพื้นที่เลือกตั้ง เขต 3 แล้ว และยังเข้าได้เยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมมอบชุดป้องกันเชื้อ หน้ากากทางการแพทย์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นและขาดแคลนในช่วงนี้ ให้กับโรงพยาบาลบางปะอิน และโรงพยาบาลวังน้อย รวมทั้ง ลงพื้นที่แจกจ่ายเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ ให้พี่น้องประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยในตลาดนัดวัดสามเรือน พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และได้ประสานกับประชาชน และลงมือเร่งทำFace Shield เพื่อนำไปมอบให้โรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเป็นสิ่งป้องกันเชื้อโรค

“นอกจากนี้ ยังนำชาวบ้านสวดปัดรังควานไล่โควิด-19 ตามประเพณีโบราณ ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ซึ่งเคยสวดไล่โรคห่าในช่วงที่โรคห่าระบาดหนัก เมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว ทำให้ชาวบ้านปลอดภัย และครั้งนี้ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อแม้น เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก นำสวดและทำน้ำมนต์ใส่ผสมยาฉีดฆ่าเชื้อพ่นทุกหมู่บ้านในเขตพื้นที่ เป็นพิธีตามความเชื่อ เพื่อความสบายใจและเป็นกำลังใจให้แก่ประชาชนและบุคคลกรในพื้นที่ ซึ่งน้ำมนต์ที่ผสมกับยาฆ่าเชื้อ เราได้นำไปฉีดพ่นและฆ่าเชื้อได้จริง” สุรศักดิ์ กล่าว

ด้าน มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นหนังสือต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอบริจาคเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ส.ส.เข้ากองทุนสมทบป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาล ตั้งแต่งวดวันที่ 30 เม.ย. 2563 ถึง 31 มี.ค. 2566 หรือจนกว่ายุบสภา หรือหมดวาระสภาผู้แทนราษฎร รวมแล้วจะเป็นเงินประมาณ 4 ล้านบาท

มงคลกิตติ์กล่าวว่า เนื่องจากวิกฤตนี้ร้ายแรงไปทั่วโลก ไม่มีใครทราบได้ว่าวิกฤตนี้จะสิ้นลงเมื่อใด และล่าสุดรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน กว่า 1.9 ล้านล้านบาท ถือเป็นการกู้ครั้งสุดท้ายและจะกู้ไม่ได้อีก เนื่องจากเกินลิมิตร้อยละ 60 ของหนี้สาธารณะต่อจีดีพี จึงกู้ไม่ได้อีก และหากแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ภายใน 6 เดือน ทางสุดท้ายเหลือแค่ขายทรัพย์สินภายในประเทศ ปัญหาครั้งนี้ใหญ่หลวงนักมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 ถึงประมาณ 3 เท่า เหมือนกับครั้งนี้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ดังนั้นคนไทยทุกคนต้องช่วยกันฝ่าฟัน และยอมเสียสละ

“ผมในฐานะนักการเมือง ส.ส.ไม่สามารถทนเห็นความเดือดร้อนของประชาชนตาดำๆ ได้ ไม่สามารถที่จะทนรับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งที่เป็นภาษีของพี่น้องประชาชนได้อีก ส่วน ส.ส.หรือ ส.ว.ท่านอื่นจะดำเนินการตามหรือไม่ ขอให้เป็นดุลพินิจส่วนบุคคล แต่ขอขอบคุณนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ที่จุดประกายเรื่องนี้ นอกจากนี้ ขอเรียกร้องไปยังนายทุนและเจ้าสัวให้ออกมาช่วยกันแก้ปัญหาในครั้งนี้”

มงคลกิตติ์กล่าวว่า การบริจาคเงินขอให้เป็นดุลพินิจส่วนบุคคล แต่สถานการณ์ปัจจุบันตอนนี้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เราจะเอาตัวรอดเฉพาะครอบครัวเรา เราอาจเอาตัวรอด แต่ประชาชนไม่รอด ตัว ส.ส. ส.ว.รัฐบาล เจ้าสัว นายทุน ก็ไม่รอดเหมือนกัน เพราะสุดท้ายหากเราแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ภายใน 6 เดือน เราไม่มีเงินให้เขาแล้ว คนพวกนี้ก็จะไม่มีอันจะกิน เขาก็จะใช้วิธีปล้นสะดมกัน เพราะฉะนั้นอยาให้ต้องทุบหม้อข้าว เพราะการกู้เงินครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เราไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว เพราะมันชนเพดานแล้ว มันคล้ายกับการเสียกรุงครั้งที่ 2 ต่างแค่เป็นสงครามที่มีศัตรูเป็นไวรัสเท่านั้นเอง ร้ายกาจกว่าศัตรูที่เป็นมนุษย์หลายเท่า จึงอยากให้สมัครสมานสามัคคีและร่วมกันเสียสละให้ถึงที่สุด สุดท้ายถ้าสถานการณ์ไปต่อไม่ได้ กู้ไม่ได้ พวกเราเองในฐานะที่เป็น ส.ส มีทรัพย์สินเท่าไหร่ก็คงต้องขายทั้งหมดเพื่อนำมาช่วยเหลือให้ประเทศไทยผ่านจุดนี้ไปได้

ที่มาจาก : สำนักข่าวไทย , ผู้จัดการออนไลน์

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net