ฟังคลิปบรรยายเรื่อง “พหุวัฒนธรรมในสังคมไทย (ศาสนา ปรัชญา และภาษา)” ของ ศ.ดร.สมภาร พรมทา บรรยายแก่คณาจารย์ นิสิต นักศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
ผมสนใจข้อเสนอว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์ควร “สอนประชาธิปไตย” แก่ฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ผ่านการเรียนปรัชญา เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกต้องว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร
โดยเริ่มจากสมภารอ้างถึงบทความของคนที่อ้างว่าสนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งที่จริงคือบทความของผมเอง
สมภารกล่าวในคลิปที่อ้างถึงข้างต้น (นาทีที่ 46 เป็นต้นไป) ว่า คนที่เขียนบทความวิจารณ์เขาไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร โดยอธิบายว่า ประชาธิปไตยต้องมีเสรีภาพ ไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลกบัญญัติกฎหมายให้การเลือกตั้งเป็น “หน้าที่” การบัญญัติเช่นนี้เท่ากับบังคับให้เขา(สมภาร)ต้องไปเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 แต่เขาเห็นว่าไปถึงสนามเลือกตั้งแล้วไม่มีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใดเลยที่ดีพอให้เขาตัดสินใจเลือกได้ลง แบบนี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยต้องจัดเตรียมสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่นเมื่อไปเลือกตั้งต้องมีแต่พรรคการเมือง นักการเมืองดีๆ ให้เลือก
ประเด็นการเลือกตั้งควรเป็น “สิทธิ” หรือเป็น “หน้าที่” ประเด็นนี้เราเถียงกันได้ ถ้าถือว่าการเลือกตั้งเป็น “สิทธิ” เราก็ต้องเลือกได้ว่าจะไปลงคะแนนเลือกตั้งหรือไม่
แต่ข้อเท็จจริง กฎหมายไทยกำหนดให้การเลือกตั้งเป็น “หน้าที่” โดยมีช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” ให้สำหรับคนที่ไม่เลือกพรรคการเมืองใดๆ คำถามคือ การกำหนดไว้เช่นนี้จะถึงกับสรุปว่า “ไม่มีเสรีภาพ” และ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” ในความหมายที่ทำให้สมภารรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ เป็นเสมือน “ซอมบี้” ที่ถูกปลุกขึ้นมาจากหลุมให้ต้องไปเลือกตั้งกระนั้นหรือ
โอเคว่านี่เป็น “สำนวน” หรือ “ลีลา” แบบนักเขียน แต่ประเด็นคือใน “บริบท” ที่ กปปส.ชุมนุมต้านการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 สมภารบอกว่าการเลือกตั้งดังกล่าวทำให้เขาไม่มีเสรีภาพ ไม่มีตัวเลือก ตนไม่มีสิทธิ์ต่อรอง จึงไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ประชาชนส่วนใหญ่กำลังปกป้องการเลือกตั้งจากการรัฐประหารที่คาดเดาว่าจะเกิดขึ้น พวกเขาเชื่อว่าการเลือกตั้งคือพื้นที่เดียวที่พวกเขาจะมีสิทธิ์ต่อรอง แล้วเราจะถือความเห็นของใครเป็นบรรทัดฐาน?
ย้ำอีกครั้ง หลักการเรื่องการเลือกตั้งเป็นสิทธิหรือหน้าที่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เถียงกันได้ และหาข้อสรุปได้ว่าอะไรเป็นเสรีประชาธิปไตยจริง แต่ตรรกะที่สมภารอ้างว่า “ไม่มีนักการเมือง พรรคการเมืองที่ดีพอให้เลือกแล้วตัดสินว่าการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่ใช่ประชาธิปไตย” นี่เป็นการอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะคนอื่นๆ อาจเห็นว่ามีพรรคการเมือง นักการเมืองที่เขาอยากเลือก
พูดสั้นๆ คือประเด็นการเลือกตั้งเป็นสิทธิ ไม่ควรบัญญัติกฎหมายให้การเลือกตั้งเป็น “หน้าที่” มีเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่ที่บอกว่าประชาธิปไตยการเลือกตั้งต้องมีแต่นักการเมือง พรรคการเมืองดีๆ ให้เลือก เป็นตรรกะที่ฟังไม่ขึ้น เพราะคุณอาจบอกว่าไม่มีให้เลือกเลย แต่คนอื่นๆ อาจเห็นว่ามี
หากพูดตรงไปตรงมา ตรรกะที่ว่า ไม่มีพรรคการเมือง นักการเมืองที่ดีพอให้เลือกดังที่สมภารอ้าง มันคือตรรกะเดียวกับที่ กปป.อ้างเพื่อ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” นั่นเอง และสมภารเองก็พูดว่า ที่ฝ่ายเหลืองบอกว่านักการเมืองมีแต่พวกนายทุนก็เป็นความจริง ปัญหานี้ไม่ใช่ฝ่ายยืนยันประชาธิปไตยมองไม่เห็น แต่ถ้าไม่รักษาการเลือกตั้งไว้ แล้วใช้วิธีรัฐประหารแบบที่อีกฝ่ายสนับสนุนมาแล้ว มันก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ เพราะเครือข่ายฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ถืออำนาจปืนก็คือกลุ่มทุนใหญ่ ทุนกินรวบและตรวจสอบไม่ได้อีกต่างหาก
สมภารบอกอีกว่า ฝ่ายประชาธิปไตยที่ต้องการให้สถาบันกษัตริย์ปรับตัวสอดคล้องกับประชาธิปไตย ก็ควรเข้าใจฝ่ายที่เขารักสถาบันกษัตริย์ด้วย ควรใช้ “วิธีนุ่มนวล” ค่อยพูดค่อยจาใช้เหตุผลโน้มน้าว เพราะการที่สถาบันกษัตริย์จะปรับตัวได้อาจต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี นี่ช่างเป็นการพูดที่ย้อนแย้งกับการที่คุณบอกว่าการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะไม่มีเสรีภาพเสียเหลือเกิน คุณอยากให้การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยแบบก้าวกระโดด? แต่ยืนยันว่าสถาบันกษัตริย์จำเป็นต้องใช้เวลานานในการปรับตัวเป็นร้อยปี?
ตามข้อเท็จจริง พรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกถูกทำรัฐประหารและถูกยุบครั้งแล้วครั้งเล่า ในทางประวัติศาสตร์ นักศึกษาประชาชนที่เรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยถูกฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า คุณเรียกร้องให้ฝ่ายประชาธิปไตยใช้วิธีนุ่มนวล ให้เหตุผล ผมก็เห็นด้วยครับ แต่ว่าฝ่ายประชาธิปไตยเคยปราบปราม เคยดำเนินคดี จับคนเห็นต่างติดคุก ไล่ออกนอกประเทศ เหมือนที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมทำมาตลอดหรือเปล่า คุณเรียกร้อง “วิธีนุ่มนวล” และเหตุผลถูกคน ถูกฝ่ายไหม
หลังรัฐประหารมาจะ 6 ปีแล้ว สมภารเพิ่งเสนอว่ามหาจุฬาฯ ควรสอน “ประชาธิปไตย” แก่ฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อแดง แปลว่าสมภารในฐานะศาสตราจารย์ปรัชญาตัวหลักของมหาจุฬาฯ มีคุณสมบัติ “เป็นกลาง” ที่จะสอนประชาธิปไตยให้สองฝ่าย ทำให้สองฝ่ายคุยกันด้วยเหตุผลได้?
จริงๆ แล้วสมภารเป็นกลางจริงๆ หรือ เพราะหลังรัฐประหาร 2557 สมภารรับตำแหน่งคณะกรรมการสองคณะ ที่ประยุทธ์ลงนามแต่งตั้งและรองหัวหน้า คสช.เป็นประธานคณะกรรมการไม่ใช่หรือ ขณะที่คุณยืนยันว่า “เลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะไม่มีเสรีภาพ” ทำให้คุณกลายเป็นเสมือนซอมบี้ แต่กลับรับเป็นคณะกรรมการที่เผด็จการตั้ง เพราะมันมีเสรีภาพและเป็นประชาธิปไตยมากกว่าอย่างไร
เมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งที่จริงแล้วก็ยังอยู่ในโครงสร้างของระบบที่ไม่แยกศาสนาจากรัฐ พุทธศาสนายังเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมและไม่ประชาธิปไตย โครงสร้างอำนาจและวัฒนธรรมของคณะสงฆ์หรือพูดรวมๆ คือพุทธศาสนาไทย ก็เป็นโครงสร้างอำนาจและวัฒนธรรมที่สนับสนุนอุดมการณ์ไม่ประชาธิปไตย แล้วจะมาสอนประชาธิปไตยแก่ทั้งเหลืองและแดง จะต่างอย่างไรกับกองทัพสอนประชาธิปไตยแก่ประชาชนในหมู่บ้านชนบท
ข้อสังเกตของผมคือ ในสยามไทยนี้มีกลุ่มคนสองประเภทที่อ้างว่าตนเองเป็น “คนกลาง” ที่มีความชอบธรรมในการเข้ามาแก้ปัญหาการเมือง คือ “กองทัพ” ที่ทำรัฐประหารในฐานะคนกลางอย่าศึกความขัดแย้งทางการเมือง กับกลุ่มบุคคลทางศาสนาที่คิดแบบแบบสมภารที่อ้างว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ควรเป็นกลางสอนประชาธิปไตยแก่ทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งทางการเมือง
คนกลางกลุ่มแรกมีอำนาจปืนในมือ คนกลางกลุ่มหลังมีอำนาจพุทธศาสนา ศีลธรรม ความรู้ทางปรัชญาในมือ แต่เอาเข้าจริงทั้งสองกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมและค้ำยันโครงสร้างอำนาจอนุรักษ์นิยมที่ไม่ประชาธิปไตย
หมายเหตุ: ภาพประกอบ ภาพวาดฝีมือสมภาร พรมทา ที่มา https://www.thairath.co.th/news/society/1109457
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)