Skip to main content
sharethis

อธิการบดีสถาบันจัดการปัญญาภิวัฒน์เผย การเจรจาด้านการค้าของจีน กับอเมริกายังไม่มีความคืบหน้า ชี้โลกกลับตาลปัตร จีนกลายเป็นผู้นำการค้าเสรี แต่ถูกต้านโดยสหรัฐอเมริกา ดูไพ่ในมือจีนเป็นต่อสู้ได้ด้วยพลังเต้าหู้ และพันธบัตรสหรัฐอเมริกาที่ถือครอง

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2561 ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จังานเสวนาหัวข้อ จีน VS สหรัฐฯ 2018 โดยมีวิทยากรประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันจัดการปัญญาภิวัฒน์ และศาสตราจารย์กิตติคุณ ไชยวัฒน์ ค้ำชู คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยช่วงแรกเป็นส่วนการอภิปรายของ สมภพ มีรายละเอียดดังนี้

เมื่อโลกกลับตาลปัตร จีนเชิดชู 200 ปีชาตกาลคาร์ล มาร์กซ์ แต่โปรการค้าเสรี

สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง ความสัมพันธ์ทางการเมืองเศรษฐกิจระหว่างจีน กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้มีความคืบหน้าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อทีมงานของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Steven Mnuchin ซึ่งได้นำทีมงานที่ใหญ่ที่สุดหลังจากที่ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นต้นมา เข้าไปเจรจากับจีน ในทีมนั้นประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ Wilbur Ross รวมทั้ง Robert Lighthizer ผู้อำนวยการของสำนักผู้แทนการค้า (US Trade Representative) และ Larry Kudlow ซึ่งเป็น Directors of the National Economic Council (สภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐอมเริกา)

“การเจรจาในช่วงที่ผ่านมา ผมตามอยู่ก็รู้สึกขำพอสมควร หลายคนคงคิดว่าทำไมผมรู้สึกขำ เพราะผลการเจรจาก็ไม่ได้มีผลอะไรมากมาย แต่ที่ผมขำก็เป็นเพราะทีมงานของจีนภายใต้การนำขอรองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นมาใหม่เป็น 1 ใน 25 คณะกรรมการโปลิตบูโร เป็นคนใกล้ชิดกับสี จิ้นผิง เป็นมือเศรษฐกิจแต่ไหนแต่ไรมา ปรากฎว่าขณะที่เจรจากันอยู่ท่านทราบไหมว่า ในวันที่ 4 พฤษภาคม ผู้นำเกือบทั้งหมดของจีนไปอยู่ที่มหาศาลาประชาคม (ต้าหลี่ถัง) ไปเปิดงานฉลองครบรอบฉลอง 200 ปีชาตะกาลของ คาร์ล มาร์กซ์ แล้วตัวสี จิ้นผิงเองก็กล่าวสุนทรพจน์ยาวมาก แล้วก็สรรเสริญมาร์กซ์ ว่ามีคุณประการต่อประชาชนจีน และประเทศจีนอย่างไร แล้วประเทศจีนจะต้องดัดแปลงความคิดของมาร์กซ์มาใช้ให้มากขึ้น” สมภพ กล่าว

เขากล่าวต่อว่า ในขณะที่จีนกล่าวเชิดชูมาร์กซิสต์ เชิดชูหนังสือเล่มแรกของมาร์กซ์และเองเงิลส์ communist manifesto และงานชิ้นที่ยิ่งใหญ่ของมาร์กซ์คือ das capital (ว่าด้วยทุน) ซึ่งเป็นหนังสือที่สี จิ้นผิงชอบมาก แต่กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันจีนอยู่ในบทบาทที่เชิดชูโลกาภิวัตน์ และส่งเสริมการค้าเสรี ซึ่งตอนนี้เหมือนจะถูกอุปโลกน์ให้เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจเสรี และการค้าเสรี ขณะเดียวกันทีมงานที่ทรัมป์ส่งมาซึ่งเป็นคนที่ปกป้องทุนนิยมมาตลอด กลับใช้นโยบาย Anti-Globalization ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโลกกำลังกลับตาลปัตร และเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ว่าจะมีการคลี่คลายไปอย่างไร ส่วนการเจรจาในครั้งที่ผ่านก็ไม่ได้มีผลที่ดีแต่อย่างใด

จีนกำลังเติบโตบนเส้นทางเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาเติบโตเป็นมหาอำนาจ

สมภพ กล่าวถึงพัฒนาการในช่วงที่ผ่านมาของประเทศจีนว่าในปี 1960 เป็นปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นบริหารประเทศ GDP ของจีนในเวลานั้นแทบไม่ได้โตขึ้นเลย จนกระทั่งปี 1980-1981 จึงเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงเวลานี้ GDP ของสหรัฐอเมริกามากกว่าจีน 15 เท่าตัว แต่ทุกวันนี้ GDP ของจีนอยู่ที่ 12 ล้านล้านเหรียญ ส่วนสหรัฐอเมริกา 19.3 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งห่างกันเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เขา ระบุถึง ปัจจัยที่ทำให้จีนพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาว่าเกิดจาก 7 ตัวแปรสำคัญ ซึ่งเป็นตัวแปรเดียวกันกับที่สร้างอเมริกาให้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ โดยตัวแปรทั้งหมดประกอบด้วย

1.การพัฒนาด้านการขนส่ง (Transportation Development) โดยหลังจากสิ้นสุดสงครามกลางเมือง สหรัฐอเมริกาก็เร่งดำเนินการสร้างทางรถไฟทั่วประเทศระยะทางประมาณ 3 แสนกิโลเมตร ในขณะปัจจุบันจีนเองก็พยายามสร้างทางรถไฟไม่เพียงเฉพาะในประเทศ แต่พยายามเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคเข้าด้วยกัน ซึ่งถึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดระบบเศษรฐกิจตลาด เพราะเมื่อมีทางรถไฟ มีสถานนีรถไฟเกิดขึ้นที่ไหนสิ่งที่ตามก็คือ การเกิดขึ้นของเมือง

สหรัฐอเมริกาเริ่มมีประชากรที่อยู่ในเมืองมากกว่าในชนบทในปี 1900 ในขณะที่จีนมีคนอยู่ในเมืองมากกว่าอยู่ในชนบทในปี 2000 โดยในเวลานี้คนจีนอยู่ในเมืองทั้งหมด 58 เปอร์เซ็นต์ อเมริกามีคนอยู่ในเมืองทั้งหมด 80 เปอร์เซ็นต์ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือตอนนี้จีนได้รับฉายาว่า โรงงานของโลก ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ส่วนอเมริกาเคยได้รับฉายานี้ในช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1

2. การพัฒนาด้านการสื่อสาร (Communications Development) ซึ่งปัจจัยนี้คือตัวบ่มเพาะความขัดแย้งระหว่าจีน กับอเมริกาอย่างมาก ตอนนี้ที่เห็นได้ชัดคือ การเกิดขึ้นของศึก semiconductor (สารกึ่งตัวนำ) โดยรัฐบาลทรัมป์สั่งห้ามไม่ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิต computer chip ขาย chip คุณภาพดีให้กับบริษัทของจีน เพราะเกิดจากความกังวลที่เห็นจีนมีพัฒนาการที่รวดเร็วในด้านนี้

3. การสร้างระบบเศรษกิจที่เป็นมิตรกับตลาด (Market Friendly Economy) ก่อนหน้าที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในเรื่องดังกล่าว คือดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับตลาด เศรษฐกิจที่ใช้กลไกดีมาน ซับพลาย ในการขับเคลื่อน เป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ได้วางแผนจากส่วนกลางเหมือนประเทศคอมมิวนิสต์ในอดีต เป็นระบบตลาดที่ทำให้เอกชนสามารถปลดปล่อยพลังในการผลิตได้อย่างเต็มที่

4. การพัฒนาภาคการเงิน (Financial Development) สหรัฐอเมริกาหลังจากที่พัฒนาการขนส่ง การสื่อสาร และสร้าระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับตลาด สิ่งที่ตามมาคือการกลายเป็นเจ้าแห่งระบบการเงินโลก

5. การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี (Technological Development) โดยล่าสุดจีนลงทุนในด้านนี้ประมาณ 2.1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP

6. เสถียรภาพทางการเมือง (Political Stability) ล่าสุดจีนได้แก้รัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งต่อไปได้จนกว่าจะลาออกเอง

7.  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) ในเวลานี้จีนกำลังปฏิรูปการศึกษาอย่างหนัก และยังส่งคนไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยสถิตินักศึกษาจีนที่เข้าไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริการาว 3 แสนคน ถือเป็น 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างประเทสที่เข้าไปเรียนในสหรัฐอเมริกา และตอนนี้แล้วที่ข่าวออกมาว่าสหรัฐอเมริกาอาจจะจำกัดจำนวนนักศึกษาจีน

สมภพ กล่าวต่อไปว่าในช่วงเทอมแรกของสี จิ้นผิง ซึ่งคาบเกี่ยวกับเทอมที่ 2 ในช่วงที่ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นประธานาธิบดี ปรากฎว่าแผนพัฒนาฉบับที่ 13 ของประเทศจีน ได้กำหนดว่าจะมุ่งสู่การปรับจากการเป็นฐานการผลิต สู่การเป็นฐานในภาคบริการ โดยก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกาก็เปลี่ยนแปลในลักษณะด้วยกันหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเห็นว่าประเทศตัวเองไม่มีความได้เปรียบในด้านการผลิตอีกต่อไป โดยหันไปส่งเสริมบริการด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมบันเทิง เศรษฐกิจในภาคการกีฬา และการขนส่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จีนกำลังทำในเวลานี้

“จีนกำลังส่งเสริมภาคบริการแถวเศรษฐกิจชายฝั่งทะเล และย้ายฐานภาคการผลิตสู่มณฑลด้านใน และบางส่วนย้ายฐานออกมานอกประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชื่อมกับโครงการ one belt one road ไม่เชื่อเดี๋ยวเราคอยดูต่อไป” สมภพ กล่าว

สมภพ กล่าวต่อว่า จีนกำลังเดินตามเส้นทางที่สหรัฐอเมริกาเคยเดินมาก่อน ซึ่งถึงที่สุดแล้วจะเกิดการพัฒนาในภาคการเงิน จนกลายเป็นเศรษฐกิจที่อิงกับภาคการเงิน (finance based economy) โดยตอนนี้สิ่งที่จีนและประสบความสำเร็จอย่างมากคือการเร่งการโตของเมือง และอีกสิ่งหนึ่งที่จีนกำลังประสบความสำเร็จอย่างมากคือ การเร่งพลังอำนาจการบริโภคภายในประเทศในประชาชนจีน โดยช่วงที่สี จิ้นผิงเข้ามาใหม่ๆ การบริโภคภายในประเทศมีสัดส่วนเพียงค่ 45 เปอร์เซ็นต์ของ GDP แต่ในปี 2016 มีสัดส่วนอยู่ที่ 66 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนสามารถใช้จมูกตัวเองหายใจได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกมากเหมือนเดิมอีกแล้ว

สหรัฐอเมริกาหวังลดดุลการค้าของจีนที่มีต่อตัวเอง พร้อมขอจีนเลิก subsidize สิ้นค้า made in china ปี2025

เขา กล่าวต่อไป การเจรจาของจีน และสหรัฐอเมริกา ครั้งล่าสุดได้ผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันมีเพียงการตั้งคณะกรรมการที่จะต้องมาเจรจากันต่อไป หลายเรื่อวที่เป็นข้อน่าสังเกตของการเจรจาคือ ทีมงานของทรัมป์ได้กล่าวว่า ในปี 2020 จีนจะต้องลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ลดไป 2 แสนล้านเหรียญ โดยตัวเลขปัจจุบันที่อเมริกามองว่าจีนเกินดุลการค้าอยู่ที่ 3.7 แสนล้าน แต่จีนระบุว่าเกินดุลการค้าเพียงแค่ 2.8 แสนล้านเหรียญเท่านั้น คำถามคือทำไมสหรัฐถึงตั้งเป้าไว้ที่ปี 2020 อาจจะเป็นเพราะในปีนั้นจะเป็นปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐหรือไม่ ขณะเดียวกันสหรัฐตั้งเป้าว่าภายในเดือน มิ.ย. 2019 จะต้องลดดุลการค้าลงมาให้ได้ 1.3 แสนล้าน

เรื่องต่อมาที่มีการเจรจากันคือ สหรัฐอเมริกา เรียกร้องให้จริงกำหนดชนิดของสินค้าออกมา ว่ามีสินค้าอะไรที่มีการปกป้อง สินค้าอะไรที่ต้องการเปิดเสรี ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อสหรัฐจะได้ทราบว่า สินค้าตัวไหนที่สหรัฐจะสามารถส่งเข้ามาขายในจีนได้ และเมื่อมีการส่งลิตส์ออกมาแล้ว ฝ่ายทีมงานของทรัมป์จะเห็นด้วยหรือไม่ จะใช้เวลาในการทบทวนทั้งหมด 90 วัน ฉะนั้นจะทราบผลในช่วงสิ้นเดือน ต.ค. ซึ่งในเดือน พ.ย. สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาคือ การเลือกตั้งกลางเทอม ส.ส. สี่ร้อยกว่าคน และมี ส.ว. อีก 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด

เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ทีมงานของทรัมป์ได้กล่าวไว้ว่า จีนจะต้องลดเลิกการ subsidize อุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้คำว่า made in china ในปี 2025 สมภพ อธิบายต่อไปว่า เมื่อลองไปดูในปี 2025 อุตสาหกรรมหลักที่จีนตั้งไว้ว่าจะพัฒนาเป็นหลักคือ การพัฒนาการผลิตในภาคอุสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการใช้ AI เข้ามาในการผลิต ต่อมาคือเรื่องของ Robot และตัวที่สามคือ Semiconductor ตัวที่ 4 คือการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ยังมีการตั้งเป้าหมายในการพัฒนารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ เรื่อง bit coin การสำรวจทางทะเล การต่อเรือโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การสำรวจอวกาศ และการสำรวจทะเลลึก ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของอุตสาหกรรมใหม่ที่จีนระบุว่าในแผน made in china 2025 ซึ่งทีมงานของทรัมป์เห็นว่าจีนควรลดการ subsidize ลง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกมาจากปากของที่ปรึกษาใหญ่ของทรัมป์คือ ปีเตอร์ นาวาร์โร ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่า การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ของจีนเป็นการคุกคาม แล้วขณะเดียวกันเขาบอกด้วยว่าเทคโนโลยีตัวนี้ไม่ได้ใช้ในทางการเค้าอย่างเดียว แต่เอาไปใช้ในทางด้านกองทัพด้วย และเมื่อจีนใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในกองทัพมากๆ โอกาสที่จะเกิดจากปะทะกันระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาก็อาจจะเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเกิดสงคราม” สมภพ กล่าว

สมภพ กล่าวต่อไปว่า สหรัฐบอกว่าบริษัทของสหรัฐที่ไปลงทุนในจีน รัฐบาลจีนจะมาบังคับให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีไม่ได้ เพราะจีนมีการกำหนดว่าหากต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในจีนจะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับจีนด้วย ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างมาก

เขาระบุต่อไปว่า สิ่งที่น่าจับตามองคือ ก่อนถึงเดือน ก.ค. นี้ สหรัฐจะมีมาตรการอะไรออกมาตอบโต้จีน จากที่กำหนดว่าจะมีการเก็บภาษีสินค้าเพิ่มจะมีการเก็บหรือไม่ อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ ก่อนหน้านี้จีนค่อนข้างจะอ่อนข้อในการเจรจา แต่ในเวลานี้ท่าทีของจีนแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

“จีน เพิ่งจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้อย่างไม่มีเทอม เมื่อมีอำนาจมากขณะนี้ ลองนึกภาพดูว่า หากจีนถอย คนจีนจะรู้สึกอย่างไร เรื่องที่สองคือโลก คาดหวังให้จีนเป็นผู้นำการปกป้องการค้าเสรี โดยทุกชาติที่ออกมาปกป้องการค้าเสรีทั้งหลายจะมองไปที่จีนในฐานะผู้นำ และหากจีนถอย เกีรยติภูมิของจีนที่กำลังเพิ่มขึ้นจะได้รับผลกระทบไหม”

ชี้จีนสู้สงครามการค้าได้ด้วยพลังเต้าหู้-ถั่วเหลือง หุ้น และพันธบัตร

อย่างไรก็ตามภายใต้เงือนไข ต่างๆ ที่สหรัฐอมเริกากำหนดมา สมภพเห็น จีนยังมีพลังในการต่อรอง โดยเขาระบุว่าจีนจะใช้พลังเต้าหู้ต่อสู้ โดยจีนเป็นประเทศที่นำเข้าถั่วเหลืองมากที่สุดในโลก โดยปีหนึ่งมีการนำเข้าประมาณ 100 ล้านตัน ทั้งโลกมีการค้าถั่วเหลืองทั้งหมด 150 ล้านตัน อยู่ที่ประเทศจีน 2 ใน 3 ของทั้งโลก โดยจีนนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาปีละประมาณ 30 ล้านตัน ขณะที่อเมริกาส่งออกถั่วเหลือครึ่งหนึ่งของที่ผลิตได้ทั้งหมดของประเทศ โดย 62 เปอร์เซ็นต์ของยอดที่ส่งออกถูกส่งไปที่ประเทศจีน โดยถั่วเหลืองที่สหรัฐอเมริกาส่งออกมาจาก 10 รัฐ โดยที่ 8 ใน 10 รัฐเป็นรัฐที่ลงคะแนนเสียงให้กับทรัมป์

“ที่สำคัญคือพลังในภาคเกษตรแม้จะไม่ได้เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่โตเมือเทียบกับภาคอื่นๆ แต่มีพลังทางการเมืองสูง ทรัมป์เองต้องพึงพาฐานคะแนนเสียงในส่วนนี้มาก นี่คือจุดอ่อน”

เรื่องต่อมาที่เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่กว่าของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อจีนคือ เรื่องทางการเงิน สมภพ ระบุว่า ช่วงที่ทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแรก ดัชนีหุ้น  Dow Jones อยู่ที่ 18500 จุด วันที่ทรัปม์สาบานตน หุ้นพุ่งขึ้นที่ประมาณ 20000 จุด และในช่วงที่ทรัปม์ประกาศลดภาษีสำเร็จหุ้นทำ New Height ที่ 26000 จุด และเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนในเรื่องสงครามการค้า ปรากฎว่า Dow Jones ร่วงมาที่ 23000 จุด หายไปประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์

จุดอ่อนตัวที่ 3 คือเรื่องตลาดพันธบัตรรัฐบาล สมภพ ระบุว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทะลุ 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เยอะมาก เพราะดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ที่ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ความว่ามันขึ้นมาเกือบเท่าตัวหนึ่ง เมื่อมันเกิดสภาพแบบนี้แล้ว อเมริกาจะปล่อยไว้ไม่ได้ เพรามันจะเกิดการเก็งกำไรจากการกู้เงินระยะสั้นไปเก็งกำไรระยะยาว ฉะนั้นอเมริกาต้องพยายามหาทางปรับดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นไป

 “แล้วคุณคิดดูสิว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นมันสั่นคลอน ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว จากมาตรการที่ทำให้เกิดความขัดแย้งจนอาจจะกลายเป็นสงครามการค้า แล้วหากมีความปั่นป่วนของตลาดพันธบัตร ซึ่งถือพันธบัตรสหรัฐอยู่ที่ 1.2 ล้านดอลลาร์ ถ้าเกิดจีนปล่อยขายมาสักส่วนหนึ่ง หรือปล่อยข่าวว่าจะขายจะเกิดอะไร ราคาพันธบัตรมันก็จะยิ่งร่วง ดอกเบี้ยก็อาจจะพุ่งขึ้นไปที่ 4 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้เป็น 3 เรื่องที่ใหญ่มาและอาจจะทำให้การพูดคุยระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาง่ายขึ้น”

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net