Skip to main content
sharethis

รายงานจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน '1 ปี คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 : “อำนาจพิเศษ” ในสถานการณ์ปกติ'

เกริ่นนำ
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ และประกาศใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 (กฎอัยการศึก) ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557[1]จนกระทั่งได้ประกาศยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558[2]และได้ประกาศใช้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติขึ้นมาเพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารแทนกฎอัยการศึกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 หรือรัฐธรรมนูญชั่วคราว

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีของการประกาศใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558ปรากฏการกระทำที่เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ไม่เคารพหลักนิติธรรมและพันธกรณีกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ อีกทั้งยังละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างกว้างขวาง ไม่ได้แตกต่างจากการใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารภายใต้กฎอัยการศึกแต่อย่างใด แต่มีความรุนแรงในการบังคับใช้มากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ไม่สามารถตรวจสอบการกระทำโดยฝ่ายตุลาการได้

มาตรา 44 อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ
คณะรักษาความสงบแห่งชาติประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ซึ่งโดยหลักการแล้วในประเทศที่ปกครองโดยใช้กฎหมายหรือนิติรัฐ (Legal state) เมื่อมีรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศก็ต้องเป็นตามรัฐธรรมนูญอันเป็นทั้งแหล่งที่มาของอำนาจและข้อจำกัดในการใช้อำนาจ อย่างไรก็ตามมาตรา 44 ยังคงอำนาจให้คสช.ไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆและไม่ผูกพันต่อบทบัญญัติอื่นๆในรัฐธรรมนูญ แม้กระทั่งมาตรา 4 ซึ่งรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ยังต้องตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 44[3]ซึ่งให้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอำนาจในการสั่งระงับยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำรวมทั้งปฏิบัติการตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่ง หรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด มาตรา 44 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 จึงมีอำนาจเหนือบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆและถือได้ว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังมีอำนาจเต็มปราศจากข้อจำกัดทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

บทบัญญัติตามมาตรา 44 นั้นให้อำนาจอย่างกว้างขวางและปราศจากการตรวจสอบใดๆ[4] ทั้งนี้ศาลปกครองในคดีหมายเลขแดงที่ 1938/2558 ซึ่งเอกชนรายหนึ่งฟ้องเพิกถอนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 24/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพิ่มเติม ได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีที่ฟ้องเพิกถอนคำสั่งหัวหน้า คสช.ไว้พิจารณา เนื่องจากมาตรา 44 กำหนดให้คำสั่งหรือการกระทำใดตามคำสั่ง เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นที่สุด ดังนั้นจึงไม่อาจถือว่าปัจจุบันรัฐไทยปกครองโดยกฎหมายหรือเป็นนิตรัฐ เพราะ คสช. ยังคงมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งหมด

ณ ขณะนี้ คสช. ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 แล้ว จำนวน 61 ฉบับ[5]ซึ่งคำสั่งดังกล่าวมีลักษณะของการรวบอำนาจการสั่งการไว้ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ให้อยู่ภายใต้คำสั่งของบุคคลคนเดียว ซึ่งคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เป็นเสมือนการบัญญัติกฎหมายพิเศษขึ้นมาบังคับใช้ในสถานการณ์ปกติซึ่งกฎหมายพิเศษดังกล่าวนี้มีเนื้อหาสาระสำคัญเช่นเดียวกับกฎอัยการศึก ที่มีการประกาศใช้มาก่อนนั่นเอง

การบังคับใช้กฎหมายก่อนมีการประกาศใช้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558
ก่อนมีการประกาศใช้คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 คสช.ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารในการควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกินเจ็ดวัน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดจะเป็นราชศัตรู หรือได้ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎอัยการศึก หรือต่อคำสั่งของเจ้าหน้าที่ทหาร[6]

ขณะเดียวกัน ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 40/2557 กำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวของบุคคลที่ถูกกักตัวตามกฎอัยการศึก ซึ่งมีเงื่อนไขหลักคือห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ห้ามชุมนุมทางการเมือง และยินยอมจะถูกดำเนินคดีและระงับธุรกรรมทางการเงินหากผิดเงื่อนไข

อีกทั้ง ในประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง ยังอาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก ห้ามมิให้มั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ข้อมูลจากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) มี 15คดีที่จำเลยให้การรับสารภาพ[7] ศาลยุติธรรมและศาลทหารได้ลงโทษปรับและจำคุก โดยให้รอลงอาญา ยกเว้นคดีของนายอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ ซึ่งมีการต่อสู้คดีว่า คสช.ได้อำนาจมาโดยวิธีการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำของตนไม่เป็นความผิดเนื่องจากเป็นสิทธิของประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แลชุมนุมโดยสงบ อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่แน่นอนว่า คสช.จะยึดอำนาจสำเร็จหรือไม่ ซึ่งต่อมาศาลแขวงปทุมวันได้ยกฟ้องคดีไปเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 59  โดยศาลอ้างเหตุเชิงเทคนิค คือเหตุพนักงานสอบสวนของกองบังคับการปราบปรามไม่มีอำนาจสอบสวน[8]

นายอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ และทนายความวันฟังคำพิพากษาที่ศาลแขวงปทุมวัน

นอกจากนั้น ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 39/2557 ซึ่งกําหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวของบุคคลที่มารายงานตัวต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และฉบับที่ 41/2557 ซึ่งกําหนดให้การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งเรียกบุคคลให้มารายงานตัวเป็นความผิด โดยประกาศทั้งสองฉบับมีเงื่อนไขเดียวกับการปล่อยตัวผู้ถูกรายงานตัว ซึ่งตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเรื่องให้บุคคลมารายงานตัวมีรายชื่อบุคคลที่ถูกเรียกไปรายงานตัวอย่างเป็นทางการในช่วงสามเดือนแรกหลังมีการรัฐประหารจำนวน 472 คน รวมคำสั่ง 37 ฉบับ มีทั้งนักการเมือง นักวิชาการ นักกิจกรรม กลุ่มการเมืองฝ่ายต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง ระบุเหตุผลในการเรียกตัวว่า “เพื่อให้มาตรการรักษาความสงบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย”

อำนาจของฝ่ายทหารตามกฎอัยการศึก นอกจากควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกินเจ็ดวันโดยไม่มีหมายศาล ยังรวมถึงการตรวจค้น และยึด โดยไม่ต้องขอหมายศาล และอำนาจที่จะห้ามกระทำการใดๆ อีกหลายประการ เช่น ห้ามออกนอกเคหะสถาน เป็นต้น ทั้งนี้ กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้ยามศึกสงคราม ซึ่งเป็นภาวะพิเศษ ทำให้ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือพลเรือนและมีอำนาจมากกว่าปกติ โดยไม่ต้องขอให้ศาลตรวจสอบการใช้อำนาจ คือการขอออกหมายที่ศาลก่อนดังเช่นที่กำหนดไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

สาระสำคัญของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558
ภาพรวมของคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 3/2558 เป็นการกำหนดให้ทหารเป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้ฝ่ายทหารยังคงมีอำนาจในการตรวจค้น ยึด และควบคุมตัวบุคคลไม่เกินเจ็ดวัน โดยไม่ต้องมีหมายของศาล การใช้อำนาจดังกล่าวเป็นไปในลักษณะเดียวกับการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ซึ่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า คสช.ประกาศคำสั่งฉบับนี้เพื่อมาใช้แทนกฎอัยการศึก ซึ่งได้ประกาศยกเลิกไปก่อนหน้า           

นอกจากนี้ ตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 ที่กำหนดห้ามการชุมนุมหรือมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งบังคับใช้แทนประกาศ คสช.ฉบับที่ 7/2557 เรื่องการชุมนุมมั่วสุมทางการเมือง และตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 6 ได้กำหนดให้เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจเรียกบุคคลให้รายงานตัว ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับคำสั่ง คสช.ที่เรียกให้บุคคลมารายงานตัวในช่วงแรกของการรัฐประหาร และข้อ 11 ให้อำนาจเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัว และหากฝ่าฝืนเงื่อนไขก็จะมีความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ด้วย ซึ่งนำมาใช้แทนประกาศคสช. ที่ 39/2557 และ 40/2557 เรื่องเงื่อนไขการปล่อยตัวบุคคลที่ถูกควบคุมตัว

เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย[9]เป็นเจ้าหน้าที่ทหารชั้นร้อยตรีที่ต้องได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้า คสช.หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า คสช. อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาการบังคับใช้คำสั่งที่ผ่านมาพบว่า หลายกรณีเวลาปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ไม่ระบุตัว และเจ้าหน้าที่ไม่ใส่เครื่องแบบ ทำให้ประชาชนไม่สามารถทราบได้ว่าบุคคลผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยจริงหรือไม่ ในบางกรณีเจ้าหน้าที่ปฏิเสธว่าไม่มีการควบคุมตัว แต่ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวไป ดังเช่นกรณีการควบคุมตัวนายธเนตร อนันตวงษ์ ไปจากโรงพยาบาลสิรินธรเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2558[10]

นอกจากนี้ การจับกุมและควบคุมตัวยังไม่มีความชัดเจนในทางปฏิบัติในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหมายจับแล้ว กล่าวคือเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเข้าจับกุมบุคคลใดจะอ้างว่าใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ทั้งที่บุคคลดังกล่าวมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอยู่ ซึ่งพนักงานตำรวจสามารถใช้อำนาจจับกุมบุคคลที่มีหมายจับได้อยู่แล้ว ในแต่หลายกรณี ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารมีการควบคุมตัว 7 วัน ไว้ในค่ายทหารโดยไม่ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาตามขั้นตอนของกฎหมาย อีกทั้ง การควบคุมตัวดังกล่าวเป็นการควบคุมตัวโดยไม่เปิดเผยสถานที่ ไม่อนุญาตให้ติดต่อบุคคลภายนอก อันเป็นการบังคับให้บุคคลสูญหายชั่วคราว ทั้งนี้การควบคุมตัว 7 วัน ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีอาญาหรือประโยชน์ในชั้นสอบสวนนั่นเอง

คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 จึงเป็นคำสั่งที่นำมาใช้เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาที่มีหลักประกันสิทธิเสรีภาพของผู้เสียหาย ผู้ต้องหา และจำเลย ทั้งที่ปัจจุบันประเทศก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ เพราะได้มีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว และไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงใดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด        

ตัวอย่างกรณีการตรวจสอบการควบคุมตัวไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประชาชนไม่สามารถกระทำได้ภายใต้การใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 นี้คือ การที่ศาลอาญายกคำร้องขอให้ศาลไต่สวนเนื่องจากควบคุมตัวนายธเนตร อนันตวงษ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 90 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (habeas corpus) โดยศาลอ้างว่าการควบคุมตัวเป็นการใช้อำนาจตามคำสั่งคสช. 3/2558 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ทั้งที่ยังไม่มีการไต่สวนให้ได้รายละเอียดว่าใครเป็นผู้ควบคุมตัว เป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยหรือไม่ และควบคุมตัวด้วยเหตุใด คดีนี้จึงเป็นการยืนยันอีกครั้งว่าภายใต้มาตรา 44 นั้นประชาชนขาดซึ่งหลักประกันสิทธิและเสรีภาพและขาดกลไกในการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่[11]         

อำนาจเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีหน้าที่ในการดําเนินการป้องกันและปราบปรามการกระทําอันเป็นความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ความผิดเกี่ยวกับอาวุธ และความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนประกาศ คำสั่ง คสช.และคำสั่งหัวหน้า คสช.[12]ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวจำกัดกว่าการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกซึ่งไม่ได้ระบุฐานความผิดไว้ และการทำหน้าที่ดังกล่าว เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอำนาจ(1) ออกคําสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัวหรือมาให้ถ้อยคําหรือส่งมอบเอกสารหรือหลักฐาน (2) จับกุมตัวบุคคลที่กระทําความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนําส่งพนักงานสอบสวน (3) ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับพนักงานสอบสวน (4)เข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใดๆ ทั้งนี้ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย ประกอบกับมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ บุคคลนั้นจะหลบหนีไปหรือทรัพย์สินนั้นจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทําลาย หรือทําให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม (5) ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ หรือ(6) กระทําการอื่นใดตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมาย     

การให้อำนาจดังกล่าวแก่ฝ่ายทหารถือเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตั้งแต่ชั้นเริ่มต้นในการจับกุมคุมขังและทำการสอบสวน เมื่อพิจารณาประกอบกับการกำหนดให้คดีความผิดสี่ประเภทต้องนำขึ้นพิจารณาในศาลทหารแล้ว จะเห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมภายใต้ คสช.ขาดความอิสระและเป็นกลาง อันเป็นหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม คือสิทธิการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (Fair Trial)           

โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าแม้จะยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว แต่เมื่อมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ซึ่งโดยชื่อเรียกอาจเห็นว่าเป็นมาตรการที่เบากว่ากฎอัยการศึก หากเมื่อพิจารณาเนื้อหาของคำสั่งแล้วกลับพบว่าถ้อยคำที่ปรากฏเป็นถ้อยคำเดียวกันกับกฎอัยการศึกอย่างชัดเจน อีกทั้ง สถานะของคำสั่งหัวหน้า คสช. ไม่สามารถใช้กลไกใดๆในการตรวจสอบได้เนื่องจากมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 2557 กำหนดว่าให้คำสั่งของหัวหน้าคสช.ที่ออกตามอำนาจของมาตรานี้ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยรัฐรุนแรงยิ่งกว่าขณะประกาศใช้กฎอัยการศึก เนื่องเพราะ ศาลยังสามารถเข้ามาตรวจสอบการกระทำใดๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎอัยการศึกได้[13]

สถานการณ์ภายหลังการประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558

การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เป็นเครื่องมืออันสำคัญของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกของบุคคล คสช.ได้ใช้มาตรการต่างๆ ในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน ทั้งการเรียกรายงานตัวและการห้ามชุมนุมทางการเมือง รวมไปถึงการบังคับใช้ร่วมกับพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 การดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 เรื่องการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และการดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 เรื่องการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ประกอบพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งถูกนำมาตีความบังคับใช้อย่างกว้างขวาง เกินขอบเขตบทบัญญัติของกฎหมาย      

กรณีการห้ามชุมนุมทางการเมือง ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่ามีบุคคลอย่างน้อย 26รายจาก 5คดี[14] ถูกดำเนินคดีจากการฝ่าฝืนข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ซึ่งกำหนดห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปอาทิเช่นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 นักศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่นจำนวน 7 คน ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มดาวดิน ได้ไปชูป้ายคัดค้านการรัฐประหาร ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจังหวัดขอนแก่น ทำให้ถูกดำเนินคดีตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 นอกจากนี้ในวันเดียวกันกลุ่มนักศึกษาและประชาชนซึ่งไปทำกิจกรรม บริเวณลานด้านหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพก็ถูกควบคุมตัวตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 และมีบุคคล 9 รายถูกดำเนินคดีข้อหาห้ามชุมนุมทางการเมืองจากเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อมาทั้งสองกลุ่มได้ร่วมกันในนามขบวนประชาธิปไตยใหม่ทำกิจกรรมและชุมนุมโดยสงบที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 25 มิถุนายน 2558 ทำให้มีนักกิจกรรมนักศึกษา 14 คนถูกควบคุมตัวและดำเนินคดีข้อหาชุมนุมทางการเมืองฝ่าฝืนตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 และยุยงปลุกปั่น มาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญาเป็นอีกหนึ่งคดีภายใต้อำนาจศาลทหาร           

ปัญหาสำคัญจากการใช้ข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558คือเจ้าหน้าที่รัฐตีความ “การชุมนุมทางการเมือง” อย่างกว้างขวางทำให้การชุมนุมเกือบทุกประเภทเข้าข่ายฝ่าฝืนคำสั่งฉบับนี้ ทั้งการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิทางการเมืองโดยตรง การเคลื่อนไหวในประเด็นสิ่งแวดล้อมทรัพยากร หรือการเรียกร้องกรณีเฉพาะ อาทิเช่น การยื่นหนังสือของกลุ่ม “ขอคืนผังเมือง”[15],การชุมนุมเพื่อเข้ายื่นหนังสือให้มีการติดตั้งไฟแดงตลาดต้นดู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม2558การเลือกตั้งคณะกรรมการสภาทนายความ[16] หรือการจัดผ้าป่าเพื่อระดมทุนต่อสู้คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินในเขตพื้นที่เหมืองบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ[17]ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตีความว่าการกระทำดังกล่าวนั้นการชุมนุมทางการเมือง[18]

ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ชุมนุมคัดค้านการรัฐประหารและการละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.58

การเรียกรายงานตัว
ในช่วงเดือนแรกหลังรัฐประหาร ลักษณะการเรียกให้ไปรายงานตัวนั้น คสช.ได้มีคำสั่งเรียกบุคคลเข้ารายงานตัวโดยการผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุให้ไปรายงานตัว ณ สโมสรทหารบก เทเวศน์ กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามนอกจากการประกาศอย่างเป็นทางการ เจ้าหน้าที่ทหารยังใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกเรียกตัวและควบคุมตัวบุคคลโดยไม่มีคำสั่งอย่างเป็นทางการ โดยการโทรศัพท์นัดหมายให้ไปพบหรือไปควบคุมตัวมาจากที่บ้าน ซึ่งรูปแบบดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อประกาศใช้คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และไม่พบการออกหนังสือเรียกรายงานตัวอย่างเป็นทางการอีก โดยตั้งแต่รัฐประหารมีบุคคลที่ถูกเรียกไปรายงานตัวและมีเจ้าหน้าที่ทหารไปพบที่บ้านอย่างน้อย 904 คน[19]

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีข้อสังเกตว่าการเรียกรายงานตัวตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 นั้นไม่ได้ระบุรูปแบบและวิธีการเรียกแต่อย่างใด ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ต้องการควบคุมตัวบุคคลใดก็สามารถออกคำสั่งเรียกบุคคลไปรายงานตัวต่อหน้าบุคคลดังกล่าวได้ทันที และสามารถจับกุมบุคคลได้หากฝ่าฝืนก็มีโทษ ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารมักใช้อำนาจดังกล่าวข่มขู่บุคคลซึ่งออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกว่าตนสามารถใช้มาตรา 44 ควบคุมตัวหรือนำตัวไปปรับทัศนคติได้ในทันที ทำให้ทั้งมาตรา 44 และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 กลายเป็นเครื่องมือในการข่มขู่ทางการเมือง ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้กล่าวอ้างในการระงับยับยั้งการแสดงออกและการชุมนุมของประชาชนอย่างกว้างขวาง อาทิเช่น การควบคุมตัวนายวัฒนา เมืองสุขไปจากบ้านพักกรณีการวิจารณ์ คสช.[20]การควบคุมตัวนายวรชัย เหมะ นักการเมืองพรรคเพื่อไทย[21] การควบคุมตัวนายสราวุฒิ บำรุงกิตติคุณ แอดมินเพจเปิดประเด็น[22]        

การควบคุมตัวโดยมิชอบและบังคับให้บุคคลสูญหาย
แม้คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 ให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกินเจ็ดวันก็ตาม แต่โดยหลักการควบคุมตัวและหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมตามข้อ 9[23]และข้อ 14[24]ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง(ICCPR)ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามได้ระบุอย่างชัดแจ้งว่าการจับกุมและควบคุมตัวจะเป็นไปโดยอำเภอใจไม่ได้ บุคคลมีสิทธิที่จะทราบเหตุแห่งการควบคุมตัวและทราบข้อกล่าวหา สิทธิในการได้รับเยี่ยมญาติ สิทธิที่จะมีทนายความและการนำตัวไปศาลโดยพลัน แต่การควบคุมตัวตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 กลับไม่เป็นไปตามหลักการดังกล่าว กล่าวคือมีการควบคุมตัวบุคคลในสถานที่ปิดลับ บุคคลทั่วไปหรือแม้กระทั่งญาติและทนายความไม่สามารถเข้าถึงหรือตรวจสอบการควบคุมตัวบุคคลที่ถูกควบคุมตัวได้ ซึ่งเป็นการควบคุมตัวไม่ชอบ(arbitrary detention) ตามข้อ 9 ICCPR และพฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็นการละเมิดต่อพันธกรณีของอนุสัญญามิให้บังคับบุคคลสูญหาย[25]เนื่องจากมีการควบคุมตัวในสถานที่ลับและปกปิดที่จะทราบชะตากรรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐทำให้บุคคลอยู่ภายนอกความคุ้มครองของกฎหมาย[26]อาทิเช่น กรณีการควบคุมตัวนายฐนกร ศิริไพบูลย์[27] หรือกรณีการควบคุมตัวนายสราวุธ บำรุงกิตติคุณ แอดมินเพจเปิดประเด็น[28]เป็นต้น และปรากฏมีการร้องเรียนว่ามีการข่มขู่ หรือทำร้ายร่างกายระหว่างการควบคุมตัว ตัวอย่างเช่น การควบคุมตัวนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ไปจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยเจ้าหน้าที่ทหารอย่างน้อยแปดรายซึ่งปิดบังใบหน้าขณะควบคุมตัว ปิดตาผู้ถูกควบคุมตัว ไม่ได้แจ้งเหตุในการควบคุมตัว ไม่มีการแจ้งสิทธิและสถานที่ซึ่งควบคุมตัวไป อันถือเป็นการควบคุมตัวไม่ชอบและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรง

สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ (ซ้ายสุด) ขณะทำกิจกรรมนั่งรถไฟไปอุทานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกงเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2558ภายหลังเหตุการณ์เขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวจากที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิตกลางดึก

อีกทั้ง ยังมีกรณีที่ศูนย์ทนายความฯ เห็นว่าการควบคุมตัวบุคคลของเจ้าหน้าที่ทหารหลายกรณีนั้นเป็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 อีกด้วย เนื่องจากอำนาจการจับกุมตามคำสั่งดังกล่าวนั้นเจ้าหน้าที่ทหารจะทำการจับกุมได้เมื่อเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะอ้างคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 เข้าควบคุมตัวบุคคลก่อนจะทำการออกหมายจับและส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวน ดังเช่นกรณีของนายฐนกร ศิริไพบูลย์[29]      

อย่างไรก็ตามศูนย์ทนายความฯ พบว่าในบางกิจกรรมที่ไม่ได้เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายใดเลยเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้วิธีการควบคุมตัวบุคคลไปยังสถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันและจัดทำประวัติโดยไม่มีฐานรองรับใดๆ ทางกฎหมายอาทิเช่น การทำกิจกรรมรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของกลุ่มเส้นทางสีแดงเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา หรือก่ออุปสรรคในการจัดงานเสวนาเช่น งานเสวนา “ห้องเรียนประชาธิปไตยบทที่สาม จอมพลสฤษดิ์ศึกษา” ของขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อ 21พ.ย.58งานเสวนาสาธารณะ หัวข้อ “รัฐธรรมนูญใหม่ เอาไงดีจ๊ะ?” กับงานประกวดการนำเสนอ PechaKucha 20×20 หัวข้อ “รัฐธรรมนูญ” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 ก.พ.59  

คุกทหาร: ส่วนต่อขยายเวลาของการควบคุมตัวตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558
นอกจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 จะให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลไม่เกิน7วัน ในระยะเวลาดังกล่าวผู้ถูกควบคุมตัวจะอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ทหารในสถานที่ใดก็ได้ ที่ไม่ใช่สถานีตำรวจที่คุมขัง ทัณฑสถาน หรือเรือนจำ หลังจากการควบคุมตัว7วัน เจ้าหน้าที่ทหารต้องปล่อยตัวหรือส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2558 รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมได้ออกคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ 314/2557 ตั้งเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีเพื่อใช้ควบคุมผู้ต้องขังคดีความมั่นคง ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ภายในค่ายมณฑลทหารบกที่ 11 ถนนนครไชยศรี กรุงเทพมหานครทำให้เจ้าหน้าที่ทหารยังมีอำนาจควบคุมตัวบุคคลต่อไปอีก โดยมีการตั้งเจ้าหน้าที่ทหารทำหน้าที่เป็น “ผู้คุมพิเศษ” ดูแลเรือนจำ

สุริยันต์ สุจริตพลวงษ์ หรือหมอหยองขณะถูกพนักงานสอบสวนนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลทหารกรุงเทพฯ จากการถูกกล่าวหาว่าแอบอ้างสถาบันกษัตริย์ในการเรียกรับผลประโยชน์ จากนั้นเขาถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรีก่อนเสียชีวิตภายในเรือนจำเพียงไม่กี่วัน

ทั้งนี้นับแต่ก่อตั้งเรือนจำมีผู้ต้องขังอย่างน้อย 13 ราย จาก 4 คดีที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำดังกล่าว ปัจจุบันยังมีผู้ต้องขังอยู่อย่างน้อย 4ราย[30] ทนายความจะเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังได้เมื่อแต่งทนายความแล้วเท่านั้น และตลอดระยะเวลาการพูดคุยจะมีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อร้องเรียนว่ามีการทรมานเกิดขึ้นภายในเรือนจำดังกล่าวจากจำเลยในคดีระเบิดราชประสงค์[31] และมีผู้ต้องขังเสียชีวิตระหว่างควบคุมตัวแล้ว 2 ราย โดยสาเหตุการเสียชีวิตมีเพียงเจ้าหน้าที่รัฐกล่าวอยู่ฝ่ายเดียวและไม่มีญาติอยู่ร่วมระหว่างการชันสูตรพลิกศพ[32] อาจถือได้ว่าเรือนจำดังกล่าวเป็นการขยายระยะเวลาการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารต่อจากการควบคุมตัวตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด

บทสรุปและข้อเสนอแนะ
โดยสรุป การใช้อำนาจของฝ่ายทหารในฐานะเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ว่าจะเป็นการเรียกบุคคลไปรายงานตัว การจับกุมหรือคุมขังบุคคลไม่เกินเจ็ดวัน การห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป แม้จะมีเงื่อนไขจำกัดว่าผู้ใช้อำนาจต้องเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย และจำกัดเฉพาะฐานความผิดที่ต้องขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลทหารเท่านั้น แต่เมื่อบทบัญญัติมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ไม่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบได้ โดยรัฐธรรมนูญชั่วคราวได้รับรองความชอบธรรมของบทบัญญัติและการกระทำตามคำสั่งดังกล่าวตั้งแต่ต้นบทบัญญัติ ซึ่งมีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่แล้ว ยิ่งถูกบังคับใช้อย่างกว้างขวางและเป็นไปโดยอำเภอใจของเจ้าหน้าที่ เพราะปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลจากองค์กรใดๆ

จากสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการใช้คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 ที่กล่าวมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงยืนยันให้ คสช.ยุติการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 เนื่องจากไม่มีเหตุจำเป็นใดที่จะต้องประกาศใช้บังคับอยู่อีกต่อไป และยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 โดยให้กลับไปใช้กระบวนการขั้นตอนตามกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาตามปกติ

 




[1]          ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 2/2557 เรื่องการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร

[2]          ทั้งนี้ ไม่กระทบต่อการประกาศใช้กฎอัยการศึกที่มีผลใช้บังคับอยู่ในวันที่ 19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557กล่าวคือในจังหวัดที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกก่อนหน้ามีการรัฐประหารนั้นยังคงใช้กฎอัยการศึกต่อไป อาทิเช่นในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสี่อำเภอในจังหวัดสงขลา รวมถึงจังหวัดบริเวณชายแดนอื่นๆ

[3]          มาตรา 4 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทย มีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้

[4]          นอกจากบทบัญญัติตามมาตรา 44 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้ว มาตรา 47 และมาตรา 48 รัฐธรรมนูญดังกล่าวยังรับรองคำสั่ง ประกาศและการกระทำใดๆของคสช.ให้มีผลไม่ว่าจะเป็นการกระทําเพื่อให้มีผลบังคับในทางรัฐธรรมนูญ ในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทาง ตุลาการ และไม่ว่ากระทําในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่รัฐธรรมนูญประกาศ ซึ่งทำให้บรรดาประกาศคำสั่งของคสช. รวมถึงการกระทำที่ผิดกฎหมายนั้นชอบกฎหมายและถือเป็นที่สุด อันมีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดของคสช.และผู้ที่เกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง

[5]          อย่างไรก็ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 2/28 คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14/58 และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 15/58 ไม่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา

[6]          มาตรา 15 ทวิ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึกพ.ศ. 2547 ในกรณีที่เจาหนาที่ฝายทหารมีเหตุอันควรสงสัยวาบุคคลใดจะเปน ราชศัตรูหรือไดฝา ฝนตอบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้หรือตอคําสั่งของเจาหนาที่ฝายทหารใหเจาหนาที่ฝายทหารมีอํานาจกักตัวบุคคล นั้นไวเพื่อการสอบถามหรือตามความจําเปนของทางราชการทหารไดแตตองกักไว้ไม่เกิน7วัน

[7]          หัวข้อ “ข้อหา : ชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ฝ่าฝืนประกาศคสช. ฉบับที่ 7/2557หรือ ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12” http://freedom.ilaw.or.th/politically-charged , เข้าถึงเมื่อ 1เม.ย.59

[8]          คดีอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ ดูรายละเอียดที่ https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/11/aphichart_acquit/#more-3619 , เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 59

[9]          ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 5/58 เรื่อง แก้ไขคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 กำหนดให้

            “เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ขึ้นไป ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคําสั่งนี้

            “ผู้ช่วยเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศต่ำกว่าชั้นร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ลงมา และให้หมายความรวมถึง ทหารประจําการ ทหารกองประจําการและอาสาสมัครทหารพราน ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคําสั่งนี้”

[10]         ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนร้องศาลปล่อยตัวธเนตร ถูกคุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟังผลพรุ่งนี้บ่าย,https://tlhr2014.wordpress.com/2015/12/14/90-thanet-tlhr-new/ เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 มี.ค.59แถลงการณ์กรณีเธนตร

[11]         ยกอีก! ศาลอ้างคุมตัวตามคำสั่ง คสช. ชอบด้วยกฎหมาย https://tlhr2014.wordpress.com/2015/12/17/thanet-4/ ,เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 มี.ค.59

[12]         ความผิดดังกล่าวเป็นประเภทความผิดซึ่งคสช.ประกาศให้ดำเนินคดีในศาลทหาร ตามประกาศคสช.ฉบับที่ 37/57 ฉบับที่ 38/57 และฉบับที่ 50/57

[13]         ทำความเข้าใจผลของการยกเลิกกฎอัยการศึก คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 ซึ่งนำมาบังคับใช้แทน ดีกว่าจริงหรือไม่https://tlhr2014.wordpress.com/2015/04/02/ทำความเข้าใจผลของการยก/ เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 มี.ค.58

[14]         คดีชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 22 พ.ค.58 7 ราย, คดีชุมนุมหน้าหอศิลป์ 22 พ.ค.58 9 ราย, คดีชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 25 มิ.ย.58 14 ราย (ทั้ง 14 คนมีคดีชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและคดีชุมนุมหน้าหอศิลป์),คดีแถลงการณ์มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร 2 ราย(เดิมมีนักวิชาการถูกกล่าวห่ทั้งหมด 8 ราย แต่ 6 รายยินยอมลงชื่อตามเงื่อนไขท้ายคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58 จึงไม่ถูกดำเนินคดี), และคดีนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ 7 ธ.ค.58 11 ราย (2 ใน 11 รายมีคดีชุมนุมหน้าหอศิลป์และ 1 รายหนีประกัน) รวมทั้งหมด 24 ราย

[15]         เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ยื่นคัดค้านคำสั่งห้ามชุมนุม ด้านตำรวจชี้แจงไม่มีอำนาจตัดสินใจhttps://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/26/pplnetwork/ เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 มี.ค.59

[16]         “ICJ เเละศูนย์ทนายความฯเรียกร้องให้สภาทนายความมีการเลือกตั้งเป็นไปอย่างยุติธรรมและปราศจากการแทรกเเซงของรัฐบาลทหาร”https://tlhr2014.wordpress.com/2016/03/22/icj-tlhr-statement-lct/

 

[17]         ชาวบ้านบำเหน็จฯ ล้อมวงคุยในที่ส่วนบุคคล ตำรวจยังขู่คนให้ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมมีความผิด https://tlhr2014.wordpress.com/2016/03/28/bamnet_policethreat/

[18]         เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ยื่นคัดค้านคำสั่งห้ามชุมนุม ด้านตำรวจชี้แจงไม่มีอำนาจตัดสินใจhttps://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/26/pplnetwork/ เข้าถึงเมื่อวันที่ 30 มี.ค.59

[19]         “ปิด-แทรกแซง 5 งานเสวนารัฐธรรมนูญ จนท.ปรามการชุมนุมต่อเนื่อง 'ยกฟ้อง'คดีชุมนุมต้านรัฐประหาร”2559 http://freedom.ilaw.or.th/february2016reportเข้าถึงเมื่อ 1เม.ย.59

[20]         “ทหารเชิญวัฒนา เมืองสุขเข้า มทบ.11 - หลังโพสต์พาดพิง พล.อ.ประวิตร” http://prachatai.org/journal/2016/03/64376 เข้าถึงเมื่อ 1เม.ย.59

[21]         “คสช.เรียก 'วรชัย'ปรับทัศนคติ”"http://prachatai.org/journal/2016/03/64878เข้าถึงเมื่อ 1เม.ย.59

[22]         “แถลงการณ์ต่อการบังคับให้สูญหาย นายสราวุธ บำรุงกิตติคุณ” https://tlhr2014.wordpress.com/2016/03/14/press/เข้าถึงเมื่อ 1เม.ย.59

[23]         ข้อ 9 บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภยัของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอ าเภอใจมิได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้ยกเว้นโดยเหตุและโดยเป็ นไปตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย

[24]         ข้อ14บุคคลทั้งปวงย่อมเสมอกันในการพิจารณาของศาลและคณะตุลาการ ในการพิจารณาคดีอาญาซึ่งตนต้องหาว่ากระทำผิด หรือการพิจารณาคดีเกี่ยวกับ สิทธิและหน้าที่ของตน บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการพิจารณาอย่างเปิดเผยและเป็ ธรรม โดยคณะตุลาการซึ่งจัดตั้งตามกฎหมาย มีอำนาจ มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง

[25]         การบังคับบุคคลให้สูญหาย ได้แก่ การจับ ควบคุมตัว ลักพาตัว หรือวิธีการอื่นใดในการทำให้บุคคลสูญเสียอิสรภาพ กระทำโดยตัวแทนของรัฐ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยการอนุญาต การสนับสนุน หรือ การรู้เห็นเป็นใจจากรัฐ และรัฐปฏิเสธการกระทำนั้น หรือโดยปกปิดชะตากรรม หรือสถานที่อยู่ของบุคคลนั้น ทำให้บุคคลนั้นต้องตกอยู่ภายนอกความคุ้มครองของกฎหมาย

[26]         บุคคลต้องถูกบังคับให้ต้องตกอยู่นอกความคุ้มครองของกฎหมาย หรือ ตกอยู่ในสถานะที่ไม่อาจอ้างสิทธิใดๆตามกฎหมายได้จนกว่าจะขอให้ศาลสั่งว่าเป็น “คนสาบสูญ”

[27]         แถลงการณ์ต่อการบังคับให้สูญหายนายฐนกร ศิริไพบูลย์ https://tlhr2014.wordpress.com/2015/12/11/thanakorn-force-to-disappear-statement/เข้าถึงเมื่อ 1เม.ย.59

[28]         แถลงการณ์เจ้าหน้าที่ทหารปล่อยตัวนายสราวุธ บำรุงกิตติคุณแล้ว https://tlhr2014.wordpress.com/2016/03/16/sarawut/เข้าถึงเมื่อ 1เม.ย.59

[29]         นายฐนกรถูกจับและควบคุมตัวไปโดยเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2558 ทนายความพยายามติดตามตัวนายฐนกร แต่ไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลที่เป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวนายฐนกรไว้ที่ใดและมีชะตากรรมเป็นเช่นไร จนวันที่11 ธ.ค.58 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจึงได้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามว่าได้มีการมาแจ้งความและออกหมายจับแล้วแต่ยังไม่มีการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด

[30]         คดีที่ผู้ต้องหาที่ตำรวจอขอศาลฝากขังที่เรือนจำแห่งนี้ทั้ง 4 คดี ได้แก่ คดีระเบิดศาลพระพรหมแยกราชประสงค์ คดี 112 กรณีนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์(หมอหยอง คดีวางแผนเตรียมป่วน bike for dad และผู้ต้องหาชาวจีนปล้นปืนที่เยาวราช

[31]         “จำเลยคดีระเบิดแยกราชประสงค์ให้การปฏิเสธ ทนายแถลงอาเดมถูกซ้อมและขู่ส่งกลับจีนระหว่างสอบสวน”https://tlhr2014.wordpress.com/2016/02/17/ardem-weapon/เข้าถึงเมื่อวันที่1 เม.ย.59

[32]         “ความเห็นศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนต่อการตั้งเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี และต่อการตายของพันตำรวจตรีปรากรม วารุณประภา และนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์” https://tlhr2014.wordpress.com/2015/11/11/tlhr_opinions/เข้าถึงเมื่อวันที่1 เม.ย.59

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net