Skip to main content
sharethis
ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ปฏิเสธกระแสข่าว ค้านมติที่ประชุมเพราะต้องการให้กำหนดราคาเริ่มต้นการประมูลคลื่นที่ราคาเต็ม 100% จากราคาประเมิน แจงประเด็นที่เห็นต่างคือเรื่องการกำหนดขนาดคลื่นในการประมูลที่ไม่สอดคล้องกับหลักทางเทคนิคและวิชาการ ส่วนเรื่องการกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลต่ำกว่าราคาประเมิน 30% ก็ไม่มีเหตุผลรองรับที่ชัดเจน ซ้ำยังไม่มีหลักประกันเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคใดๆ  
            
18 พ.ค.2557 จากกรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีแผนจะนำคลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิร์ต (MHz) ไปเปิดให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมประมูลเพื่อนำไปให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และล่าสุดปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ที่ประชุม กสทช. มีมติผ่านร่างประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2557 แต่มี กสทช. 2 คนคือ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ที่แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับที่ประชุมบอร์ด เรื่องการกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลคลื่นย่าน 900 MHz ที่ 19,705 ล้านบาท ซึ่งราคาดังกล่าวอ้างอิงในอัตรา 70% ของมูลค่าคลื่นที่มีการประเมินไว้ โดย กสทช. เสียงข้างน้อยทั้งสองเห็นว่าควรกำหนดราคาเต็ม 100% ของราคาประเมิน
            
นายประวิทย์เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าว โดยยอมรับว่ามีความเห็นแตกต่างจากมติที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่จริง แต่สาระหลักมิใช่ต้องการให้กำหนดราคาเริ่มต้นประมูลเท่ากับราคาประเมินมูลค่าคลื่นตามที่เป็นข่าวเลย เพียงแต่เห็นว่าการกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลไว้ที่ 70% ของมูลค่าประเมินคลื่น หรือลดลงจากราคาประเมิน 30% นั้น สูงเกินไป และไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าอัตราดังกล่าวเหมาะสมอย่างไร ใช้เหตุผลใดในการตัดสินใจ เพราะจากข้อมูลการศึกษาของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU เองก็นำเสนอว่าสามารถกำหนดให้ลดลง 20% ได้โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าร่วมประมูลของผู้ประกอบการทั้งสามราย 
 
นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า อีกทั้งจากผลการศึกษาของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อครั้งประเมินมูลค่าคลื่น 2100 MHz ในปี 2555 ก็ชี้ว่า หากคาดได้ว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 3 ราย ราคาตั้งต้นโดยเฉลี่ยควรลดเพียง 18% ขณะที่ในการประมูลทีวีดิจิตอลเมื่อปลายปีที่แล้ว กสทช. ก็ถึงกับกำหนดให้ราคาประเมินมูลค่าคลื่นความถี่เป็นราคาขั้นต่ำที่ยอมรับได้และเป็นราคาเริ่มต้นในการประมูล ทั้งนี้ด้วยเหตุผลเพื่อจะลดความเสี่ยงอันอาจเกิดความเสียหายกับรัฐในกรณีที่ไม่มีการแข่งขันกันจริงในการประมูล
            
“ผมไม่ได้คิดว่าครั้งนี้ต้องกำหนดราคาเริ่มต้นเท่าราคาประเมินเหมือนการประมูลทีวีดิจิตอล เพราะรู้ว่าหากทำให้มีการแข่งขันในการประมูล ราคาชนะประมูลก็จะสูงเอง แต่ที่สำคัญคือการกำหนดราคาต้องมีหลักการ ต้องอธิบายเหตุผลความเป็นมาได้ ไม่ใช่รู้แต่ว่าอยากลดให้ 30% แบบนี้ยอมรับไม่ได้” นายประวิทย์ กล่าว
 
นายประวิทย์เปิดเผยอีกว่า จากการตรวจสอบรายงานการศึกษาของ ITU พบว่า ในการประเมินมูลค่าคลื่น มีการใช้ข้อมูลและวิธีการที่ทำให้มูลค่าคลื่นต่ำลงอย่างไม่สมเหตุสมผล เช่นมีการแบ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ 3 รายของไทยเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่งอาจส่งผลทำให้มูลค่าคลื่นต่ำกว่ามูลค่าตลาดจริง ทั้งที่ข้อเท็จจริงทั้งสามรายมีส่วนแบ่งการตลาดและรายการส่งเสริมการขายที่แข่งขันกันได้ ในขณะที่การประเมินมูลค่าคลื่นด้วยวิธีเศรษฐมิติ ก็พบว่ามูลค่าคลื่นในเนื้อหารายงานและในภาคผนวกมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งที่โดยปกติภาคผนวกคือคำอธิบายโดยละเอียดของเนื้อหารายงาน จึงไม่ควรที่จะแตกต่างกัน
 
นอกจากนี้ นายประวิทย์ระบุว่า ITU มีการกล่าวยอมรับต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการซึ่งมีคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) อยู่ด้วยว่า ITU ไม่เคยมีประสบการณ์การประเมินมูลค่าคลื่นความถี่ให้กับประเทศใดมาก่อน และในองค์กรก็ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ จึงทำให้ในการศึกษาครั้งนี้ต้องจ้างเอกชนอื่นเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้นเมื่อปรากฏว่ารายงานการศึกษามีความไม่ชัดเจนในหลายเรื่อง ITU ก็ไม่สามารถให้คำอธิบายหรือคำชี้แจงที่ชัดเจนได้
 
อีกประเด็นเกี่ยวเนื่องที่นายประวิทย์ตั้งข้อสังเกตคือ ดูเหมือนว่ามูลค่าคลื่นที่ ITU ประเมินออกมานั้นค่อนข้างต่ำกว่าที่ควร ทั้งนี้จากข้อมูลดิบในภาคผนวกพบว่า หากเปรียบเทียบมูลค่าคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz และย่าน 900 MHz ต่อย่าน 2100 MHz พบว่ามีมูลค่าคิดเป็นอัตราส่วน 7:5 และ 2:1 ตามลำดับ นั่นหมายถึงมูลค่าคลื่นย่าน 1800 MHz ควรสูงกว่าย่าน 2100 MHz ประมาณ 40% และมูลค่าคลื่นย่าน 900 MHz ควรสูงกว่าย่าน 2100 MHz ประมาณ 1 เท่าตัว ซึ่งตามสูตรนี้ หากคำนวณจากมูลค่าจริงที่ได้จากการประมูลคลื่น 2100 MHz ของไทยแล้ว ราคาประเมินมูลค่าคลื่นย่าน 900 MHz ควรอยู่ที่ 14 บาท/เมกะเฮิร์ต/ประชากร แต่ในรายงาน ITU กลับประเมินไว้เพียง 12 บาท/เมกะเฮิร์ต/ประชากร ซึ่งหากคิดมูลค่าส่วนต่างทั้งหมด พบว่ามีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 4,700 ล้านบาท
            
ส่วนอีกประเด็นสำคัญที่เสียงข้างน้อยไม่เห็นด้วยเป็นเรื่องของการกำหนดขนาดของคลื่นความถี่และใบอนุญาต ซึ่ง กสทช. กำหนดนำคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ที่หมดสัมปทานเมื่อปีที่แล้วจำนวน 17.5 MHz มาแบ่งเป็น 2 ชุด คือ 10 MHz และ 7.5 MHz ในการประมูล แต่กำหนดให้ผู้ประมูลแต่ละรายสามารถประมูลคลื่นได้ทั้ง 2 ชุด ซึ่งแตกต่างจากกรณีการประมูลคลื่นย่าน 1800 MHz ที่เพิ่งอนุมัติไป ที่มีการกำหนดให้แต่ละรายประมูลคลื่นได้เพียงชุดเดียว
           
“จำนวนคลื่นที่นำออกประมูล 2x17.5 MHz รวมถึงการแบ่งชุดคลื่นไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิค และไม่ได้คำนึงถึงเทคโนโลยีที่มีการใช้งานจริงในวงการอุตสาหกรรมปัจจุบัน ที่แบ่งบล็อกละ 5 MHz ซึ่งสำนักงานก็เสนอว่าควรจัดการประมูลคลื่นจำนวน 2X20 MHz โดยทำได้ด้วยการลดขนาดการ์ดแบนด์ลง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดสรรคลื่นและใช้งาน รวมทั้งจะช่วยให้สามารถกำหนดให้มีการประมูลใบอนุญาตเท่าๆ กันได้ไม่ต่ำกว่า 2 ใบ และให้แต่ละรายครอบครองใบอนุญาตสูงสุดได้เพียง 1 ใบ ถ้าทำแบบนี้ก็จะเป็นการสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมเพิ่มมากขึ้น” นายประวิทย์กล่าว
            
ส่วนอีกประเด็นสำคัญที่เขากับนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์อยากให้เพิ่มเป็นเงื่อนไขการประมูล แต่ไม่ได้รับการตอบสนองก็คือเรื่องของการคุ้มครองผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นในมิติของค่าบริการ คุณภาพความเร็วในการให้บริการข้อมูล (data service) ตลอดจนเรื่องการกำหนดมาตรฐานในการลดความเร็วลงเมื่อใช้ปริมาณข้อมูลถึงจุดที่กำหนดตามสิ่งที่เรียกว่า Fair Usage Policy
            
“ประเด็นเหล่านี้มีประสบการณ์มาแล้วจากการประมูลคลื่น 2100 MHz ที่ให้บริการ 3G ซึ่งค่าบริการไม่ลดลงเท่าที่ควร และความเร็วของการรับส่งข้อมูลไม่ได้เร็วสมกับเทคโนโลยี 3G ขณะที่ Fair Usage Policy กลายเป็นการเปิดช่องให้ผู้ให้บริการให้บริการในระดับคุณภาพต่ำ ผมกับคุณสุภิญญาจึงยืนยันว่าต้องให้ความสำคัญเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์โดยตรงของผู้คนส่วนใหญ่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประเด็นที่เราค้านล้วนเป็นเรื่องของเหตุผลและหลักวิชาการ ส่วนที่มีจุดยืนก็คือการคำนึงถึงประโยชน์ผู้บริโภค ไม่ใช่การค้านแบบไร้เหตุผลหรือสุดโต่งอย่างที่พยายามมีการให้ข่าว” นายประวิทย์กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net