Skip to main content
sharethis

(10 ต.ค.56) ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า กิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด กสท เมื่อวันที่ 9 ต.ค.มีมติอนุมัติค่าธรรมเนียมศาลมูลค่า 280 ล้านบาทเพื่อใช้ในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หลังจากที่ กสทช.ออกประกาศ กสทช.เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการกรณีสิ้นสุดสัมปทาน หรือสัญญาให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2556 (ประกาศเยียวยาคลื่น 1800MHz) รวมทั้งขอให้เพิกถอนร่างประกาศฯกสทช.ดังกล่าวต่อศาลปกครอง เพราะประกาศฉบับนี้ส่งผลกระทบโดยตรงทำให้ กสท เสียผลประโยชน์จากการที่ลูกค้าภายใต้สัญญาสัมปทานราว 17 ล้านรายแทนที่จะย้ายมาอยู่กับ กสท แต่กลับย้ายไปอยู่กับผู้ประกอบการเอกชนรายอื่นแทน
             
"เรื่องมูลค่าความเสียหายนั้นทางบอร์ดให้ฝ่ายจัดการไปพิจารณาอีกรอบหนึ่ง เพื่อพิจารณาด้วยความรอบคอบใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด เนื่องจากจะส่งผลต่อค่าธรรมเนียมที่ กสท ต้องจ่ายให้กับศาลด้วย โดยเบื้องต้นบอร์ดอนุมัติกรอบงบค่าธรรมเนียมสูงสุดไว้ที่ 280 ล้านบาทสำหรับการฟ้องร้องในครั้งนี้แล้ว โดยคาดว่าภายในเดือน ต.ค.นี้  กสท จะดำเนินการฟ้องร้อง กสทช.ได้"
             
สาเหตุหลักที่ กสท ต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับ กสทช.ในครั้งนี้เนื่องจากประกาศเยียวยา 1800 MHz ขัดต่อกฏหมาย 3ประเด็น ประกอบด้วย

1. ประกาศดังกล่าวกำหนดให้เจ้าของสัมปทานคือ กสท และผู้รับสัมปทานคือ ทรูมูฟ และดีพีซีเป็นผู้ให้บริการต่อไปในช่วงประกาศเยียวยา ทั้งๆ ที่ผู้รับสัมปทานมีข้อจำกัดของกฎหมายในการให้บริการตามมาตรา 80 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยสรุปสิทธิการบริหารจัดการของผู้รับสัมปทานต้องหมดลงตั้งแต่ในวันที่ 15 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมาแล้ว

2. ประเด็นการใช้คลื่นความถี่ที่จะไม่ขัดต่อมาตรา 46 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ.กสทช.) โดยระบุว่าผู้รับสัมปทานสามารถบริหารคลื่นความถี่ได้เฉพาะในช่วงที่อยู่ในสัมปทานเท่านั้น ดังนั้น การใช้คลื่นความถี่ภายหลังหมดสัญญาสัมปทานผู้รับสัมปทานคือทรูมูฟ และดีพีซีจึงไม่มีสิทธิในการนำคลื่นดังกล่าวมาบริหารจัดการแต่อย่างใด แต่กสท มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว เพราะเป็นผู้รับใบอนุญาต
      
3. กรณีประกาศดังกล่าวมีการเร่งรัดให้เกิดการโอนย้ายออกจากระบบนั้น ถือเป็นการทำให้ กสท เป็นผู้เสียหายโดยตรง เนื่องจากลูกค้าทั้งหมดภายใต้สัญญาสัมปทานราว 17 ล้านเลขหมายจะต้องย้ายมาอยู่ในระบบ 3G My ของ กสท แทน และยังไม่เป็นไปตามประกาศ MNP (Mobile Number Portability หรือ บริการคงสิทธิเลขหมาย) ที่ระบุให้มีการโอนย้ายแบบยินยอมสมัครใจเท่านั้น จึงส่งผลทำให้ลูกค้าของ กสท ที่ควรจะมีราว 17 ล้านรายดังกล่าวย้ายออกจากระบบทรูมูฟและดีพีซีทั้งหมด เนื่องจาก กสท มองว่าลูกค้าของทรูมูฟ และดีพีซีทั้งหมดควรที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในระบบ 3G My ภายหลังหมดสัญญาสัมปทาน
             
ข้อมูลจาก กสท ระบุว่าค่าเสียหายที่จะฟ้องร้องจาก กสทช.นั้น กสท คิดจากรายได้จากค่าบริการเฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือน (ARPU) คูณด้วยจำนวนผู้ใช้บริการ 17 ล้านเลขหมาย และคูณด้วยจำนวนปีที่ กสทสามารถให้บริการ 3G My จนสิ้นสุดใบอนุญาตในปี 2568 หรือประมาณ 12 ปี ซึ่งอาจจะทำให้มูลค่าความเสียหายสูงถึง 2.75 แสนล้านบาท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net