Skip to main content
sharethis

เครือข่ายภาคประชาชนเปิดเวทีถกปัญหา พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท – วางระบบการจัดการน้ำ3.5 แสนล้านบาท ชี้สร้างหนี้นโยบายสาธารณะ ทั้งการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน หวั่นส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ประกาศเดินหน้าเกาะติดโครงการ

 
 
8 พ.ค. 56 เวลา 09.30 น.ที่ ห้องประชุมสถาบันวิจัยและพัฒนา (อาร์ดีไอ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีการจัดประชุมเสวนาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จัดโดยคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ชาติ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน สถาบันวิจัยและพัฒนา (อาร์ดีไอ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีผู้เข้าร่วมเวทีเสวนาประกอบด้วยตัวแทนชาวบ้านภาคอีสาน องค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิชาการ ประมาณ 80 คน
 
บรรยากาศการเสวนา มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเข้มข้นระหว่างวิทยากรและผู้เข้าร่วมเสวนา ในประเด็นร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายด้านการจัดการน้ำ โครงการด้านการคมนาคมขนส่ง พร้อมทั้งได้ร่วมกันวางแนวทางในการดำเนินการติดตามด้านนโยบายเงินกู้สาธารณะต่อไปในอนาคต
 
นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการ กป.อพช.อีสาน ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนาได้กล่าวถึงสถานการณ์ที่รัฐบาลได้นำเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินนอกงบประมาณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย ได้ผ่านการพิจารณาวาระแรกจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อการวางระบบการจัดการน้ำ งบประมาณดังกล่าวถือว่าเป็นหนี้นโยบายสาธารณะ แต่มีข้อที่น่าสังเกตหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน
 
 
 

จวกรัฐออกกฎหมาย พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท หวังเลี่ยงการตรวจสอบ

 
น.ส.จันทิมา ธนาสว่างกุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเน้นสนับสนุนโครงการด้านการคมนาคม เป็นร่างกฎหมายที่ หลุดจากรัฐธรรมนูญ ม.167และ 168 ว่าด้วยการพิจารณารายจ่ายงบประมาณของแผ่นดิน ซึ่งตาม ม.168 จะมีขั้นตอนระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดกวดขัน โดยต้องมีรายละเอียดด้านงบประมาณ แผนการใช้จ่ายประจำปี หากมีแผนผูกพันงบประมาณก็ต้องมีการรายงานการใช้จ่ายเงินแต่ละปีต่อรัฐสภา และจะต้องมีกฎหมายควบคุมการใช้จ่ายเงิน อีกทั้งยังจะหลุดจากการโต้แย้งของ สส.ในพื้นที่และหลุดจากการควบคุม
 
สรุปว่าการออกกฎหมายนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ รวมทั้งหลบเลี่ยงกฎหมายหนี้สาธารณะที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้ง พ.ร.บ.กู้เงินนี้ได้มีการออกระเบียบการใช้โดย รมว.กระทรวงการคลัง ซึ่งออกระเบียบเองและมีอำนาจเบิกจ่ายเอง โดยขาดระเบียบการตรวจสอบ ซึ่งถือว่าขัดหลักนิติธรรมเพราะกฎหมายหนี้สาธารณะก็มีอยู่แล้วแต่เอา รมว.กระทรวงการคลังมาออกระเบียบ ทำให้ฐานะของระเบียบอยู่เหนือกฎหมาย
 
น.ส.จันทิมา กล่าวด้วยว่า หากดูแผนซึ่งแนบมาจะไม่มีรายละเอียดของการใช้งบประมาณ มีแต่ชื่อโครงการ วงเงิน ไม่มีรายละเอียดของแผนงานที่แน่นอน ไม่มีเรื่องรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) หรือการระบุว่าจะเกิดปัญหาด้านเสียง การเวนคืนที่ดินของชาวบ้านหรือด้านอื่นๆ ต่อประชาชน และไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้น เช่น เช่นขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ รายละเอียดการดำเนินงาน อันจะเป็นการรับประกันความเสี่ยงในการดำเนินโครงการในอนาคต
 
นอกจากนั้นในรายละเอียดของแผนดังกล่าวยังระบุว่า หากโครงการที่ดำเนินการไม่เสร็จจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งหมายถึงในอนาคตอาจจะเกิดหนี้ที่บานปลายมากกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มหากดำเนินโครงการไม่เสร็จ
 
น.ส.จันทิมา กล่าวเพิ่มเติมว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านนี้เป็นวิธีการทุจริตทางนโยบาย ทำโครงการให้หลวม มีการตรวจสอบน้อย ทำให้เกิดการรั่วไหลทางการเงินได้มาก ซึ่งภาคประชาชนและสังคมควรเร่งตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
 
ส่วนนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ จากโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ ได้กล่าวเปรียบเทียบถึงงบประมาณ 3.5 แสนล้านและ 2 ล้านล้าน ในขั้นอนุมัติและอนุญาตในการดำเนินโครงการจัดสรรเงินกู้ว่า มีความแตกต่างกันมาก โดยงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทจะเป็นโครงการที่มีขั้นตอนกลับหัวกลับหาง กล่าวคือ ได้มีการหาผู้รับประมูลเสร็จ แล้วหาผู้รับเหมาไว้ซึ่งอาจจะเป็นบริษัทต่างๆ แล้วหน่วยงานอย่าง กยน.หรือ กบอ.ที่นายปลอดประสพ สุรัสวดีดูแลชงเรื่องเข้า ครม.เพื่อให้อนุมัติโครงการแล้วค่อยมาออกแบบโครงการศึกษาความเหมาะ (SF) ศึกษา EIA และ HIA ตามหลัง
 
ส่วนงบประมาณ 2 ล้านล้านอาจจะดูดีในกระบวนการที่จะเป็นไปตามขั้นตอน แต่หากมาดูรายละเอียดบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.นั้น จะมีแค่ชื่อโครงการและงบประมาณ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะดำเนินโครงการไปตามขั้นตอนปกติได้ จะต้องมีการดำเนินโครงการแบบกลับหัวกลับหางอยู่ดี  ทั้งนี้ คิดว่าขั้นตอนการดำเนินโครงการของ 3.5 แสนล้านบาทและ 2 ล้านล้านบาท นั้นเป็นการขัดกับ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมและรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
 
 

ชี้รวมศูนย์อำนาจบริหารจัดการน้ำ เปิดช่องผ่าน EIA ไม่ชอบ

 
ขณะที่นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำที่อำนาจการจัดการการรวมศูนย์ไว้ที่นายปลอดประสพ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ว่า โครงการเขื่อนหลายโครงการยังไม่มีการทำ EIA เช่น โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น โครงการเขื่อนยมบน-ยมล่างที่จะส่งผลกระทบต่ออุทยานแห่งชาติ ถือว่ากระบวนการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
 
นายหาญณรงค์  กล่าวด้วยว่า หลายโครงการที่ยังไม่มี EIA ได้มีการสั่งการให้จ้างบริษัทที่ปรึกษาจัดทำ EIA ขึ้นมา กระบวนการตรงนี้อย่างไร EIA ก็ผ่าน เนื่องจากนายปลอดประสพเป็นประธานกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่สามารถอนุมัติให้โครงการผ่านได้ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการชงเรื่องเองและอนุมัติโครงการเอง  
 
ส่วนในด้านงบประมาณ 3.5 แสนล้านนั้น นายหาญณรงค์ กล่าวว่าหากมีการเซ็นสัญญากับบริษัทที่ปรึกษาก่อนวันที่ 30 มิ.ย.นี้ บริษัทฯจะมีสิทธิในการเบิกจ่ายได้ 5 เปอร์เซ็นต์ของโครงการ คือประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งตามความเป็นจริงโครงการเขื่อนประมาณ 30 โครงการ หากมีการทำ EIA แล้ว โครงการหนึ่งๆ จะไม่เกิน 20 ล้านบาทรวมแล้วไม่เกิน 60 ล้านบาท แต่ทำไมจะต้องมีการเบิกจ่ายงบประมาณออกมามากถึง 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตั้งข้อสังเกตและจับตามอง
 
 

แฉที่มา ‘เงินกู้ 2 ล้านล้าน’ กระบวนการลักไก่โดยที่ไม่ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

 
นายวิทูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ เครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาลุ่มน้ำโขง ได้กล่าวถึงเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทว่า ส่วนใหญ่คนจะไม่รู้ว่ามาจากไหน ทั้งนี้เงินดังกล่าวได้มาจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructures Fund) ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.เงินกู้จากกองทุนช่วยเหลือ เช่น ไจกา เจบิค 2.เงินที่มาจากการออกพันธบัตร 3.เงินที่มาจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยให้ประชาชนเข้าหุ้นแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์
 
พูดง่ายๆ คือ ไม่ต้องมีการออก พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก อะไรเลย แต่จะออก พ.ร.ก.ที่มีผลต่อเนื่องกับ พ.ร.บ.ที่ดินในเรื่องการจำนองทรัพย์สิน มีการออกนโยบายลดหย่อนภาษี ซึ่งรัฐจะมีการกู้จากกองทุนที่มีการระดมทุนแล้วเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยมีบริษัทหรือธนาคารเป็นผู้ดูแลเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเงินตรงนี้จะเป็นแหล่งให้ 2 ล้านล้านเข้าไปกู้ กระบวนการนี้เป็นการลักไก่โดยที่ไม่ต้องมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ยุ่งยาก
 
นายวิทูรย์ กล่าวด้วยว่า เงินที่เอาไปตั้งกองทุนนี้มีโครงการที่ครอบคลุมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน 10 โครงการ เช่น โรงไฟฟ้า การทำแนวสายส่งไฟฟ้า ท่อแก๊ส ฯลฯ กิจการที่อยู่ในลักษณะสัมปทานทั้งหมดและเกี่ยวเนื่องกับการขายให้รัฐ รวมทั้งโครงการที่มาจาก 3.5 แสนล้านก็มาจากนี้ทั้งหมด
 
นายวิทูรย์ ยังกล่าวอีกว่า โครงการเงินกู้ที่จะเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นแค่เรื่องน้ำท่วมและเรื่องทางคมนาคม แต่เป็นการทำให้สิ่งที่เป็นนโยบายสาธารณะกลายเป็นการระดมทุนและสร้างงานให้กับธุรกิจได้อย่างไม่มีขีดจำกัดด้านกฎหมาย
 
 

เครือข่ายประชาชนประกาศติดตามงบประมาณหนี้นโยบายสาธารณะ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแลกเปลี่ยนกันในช่วงสุดท้ายของเวทีเสวนา ผู้เข้าร่วมมีข้อคิดเห็นที่ตรงกันในการร่วมกันตรวจสอบโครงการและนโยบายหนี้สาธารณะ โดยเฉพาะประเด็นปัญหาจากโครงการรถไฟความเร็วสูงและโครงการจัดการน้ำที่จะต้องมีการติดตามปัญหาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนว่าจะเกิดปัญหากระทบกับประชาชนโดยตรงและจะทำให้เกิดหนี้สาธารณะที่ประชาชนทั้งประเทศมีส่วนร่วมแบกรับหนี้
 
ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนร่วมกันของภาคประชาชนและประชาสังคมจะต้องมีการจัดทำข้อมูลและกระจายข้อมูลข่าวสารสู่ประชาชนเครือข่ายต่างๆ ซึ่งจะมีการติดตามปัญหาร่วมกันอย่างต่อเนื่องและจัดเวทีอีกครั้งในช่วงต้นเดือนหน้า

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net